ศาสตราจารย์คลินิก นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานมอบนโยบายและแนวทางการดำเนินงานโรงเรียนร่วมพัฒนา (Partnership School Project)
รมช.ศึกษาธิการ กล่าวตอนหนึ่งว่า ต้องการเดินทางมาให้กำลังใจกับผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ ที่จะช่วยขับเคลื่อนโครงการโรงเรียนร่วมพัฒนา ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการ สู่เป้าหมายในการทำให้ทุกเขตพื้นที่การศึกษา มีโรงเรียนที่ดีมีคุณภาพ และมาตรฐานที่ใกล้เคียงกันทั่วทุกพื้นที่ เพื่อให้นักเรียนได้เรียนใกล้บ้าน สร้างความอบอุ่นและปลอดภัยของสถาบันครอบครัว ส่งผลต่อสภาพสังคมที่ดีทั้งในชุมชน ตำบล อำเภอ สู่ระดับจังหวัด พร้อมเป็นการช่วยลดความเหลื่อมล้ำด้านการจัดการศึกษาของประเทศต่อไป
ดังนั้น การดำเนินโครงการโรงเรียนร่วมพัฒนาในระยะแรกของโรงเรียนทั้ง 50 แห่งใน 31 จังหวัดทั่วประเทศ จะสร้างการเปลี่ยนแปลงด้านการจัดการศึกษา และส่งต่อถึงการพัฒนาประเทศด้านอื่น ๆ ในอนาคต ดังนี้
-
การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน เพื่อมาร่วมดูแล ร่วมพัฒนา และร่วมสนับสนุนอย่างจริงจัง ตั้งแต่ผู้ปกครอง ภาคประชาสังคม องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน ภาคอุตสาหกรรม ตลอดจนสถานศึกษา สถาบันการศึกษาในท้องถิ่น
-
ปลดล็อคกฎระเบียบต่าง ๆ เพื่อสร้างความคล่องตัว อาทิ การบริหารบุคคล การเงิน การบริหารทั่วไป เป็นต้น เพื่อให้การทำงานของหน่วยงานมีความรวดเร็ว คล่องตัว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น
-
ปรับเปลี่ยนหลักสูตรเพื่อสร้าง “โรงเรียนเตรียมอาชีพ เตรียมอนาคต” เมื่อมีการปลดล็อคกฎระเบียบ ก็จะช่วยให้โรงเรียนสามารถปรับเปลี่ยนหลักสูตรและกระบวนการเรียนการสอนใหม่ ที่เน้นบริบทของโรงเรียน และความต้องการของพื้นที่ ในขณะเดียวกันก็ตอบโจทย์ความเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 21 และโลกอนาคต ดังเช่นโรงเรียนชุมชนบ้านสี่แยก ที่มีกิจกรรมการเรียนเพื่อดำรงชีวิตและสร้างอาชีพ ทั้งการปลูกผักบุ้งตะกร้า ผัก-ผลไม้เข่ง เป็นต้น รวมทั้งการร่วมมือกับสถานศึกษาในพื้นที่ เพื่อนำองค์ความรู้ ทักษะ และเทคโนโลยีมาช่วยสอน นำไปสู่การสร้างนวัตกรรมและประดิษฐ์ในหลายส่วน อาทิ การแปรรูปอาหารผักผลไม้ การสกัดสารจากมังคุดเพื่อใช้เป็นยา โดยองค์การเกษตรในอนาคตแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี หน่วยนครศรีธรรมราช, การเรียนรู้เทคโนโลยีสมัยใหม่ จากมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ และมหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช เป็นต้น ทั้งนี้ การศึกษาวิจัยและสร้างนวัตกรรมนักเรียนทุกระดับสามารถทำได้ และไม่จำเป็นต้องทำในสิ่งใหญ่ ๆ หรือมีราคาแพง แต่ขอให้เน้นวิถีชีวิตและความต้องการของโรงเรียน และชุมชน เพื่อทำให้คนมีความสุข มีชีวิตที่ดีขึ้น และอาจพัฒนาต่อยอดเชิงพาณิชย์ทั้งในชุมชนและตลอดภายนอกได้ในอนาคต
-
การเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ของคนทุกช่วงวัย เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ พัฒนาทักษะและคุณภาพชีวิต ของชุมชน ที่เชื่อมโยงกับองค์ความรู้ ปราชญ์ชาวบ้าน ตลอดจนภูมิปัญญาท้องถิ่น ที่จะถ่ายทอดสู่เด็กและเยาวชนในพื้นที่ ทั้งเชิงเกษตรกรรม ศิลปหัตถกรรม และภูมิปัญญาต่าง ๆ เพื่อให้นักเรียนได้เรียนของจริงในสถานที่จริงและสืบสาน โดยผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญ ตลอดจนผู้ประกอบการในชุมชน ที่จะช่วยกระตุ้นให้เด็กเกิดการเรียนรู้คิดวิเคราะห์ได้ เรียนจากการปฏิบัติและการทำงานจริง ในขณะเดียวกัน โรงเรียนก็ต้องมีส่วนช่วยเหลือชุมชน คิดค้นและแก้ไขปัญหาตามความต้องการในแต่ละบริบทด้วย
ทั้งนี้ การดำเนินงานระยะแรกของปีการศึกษา 2561 จำนวน 50 โรงเรียนใน 31 จังหวัดทั่วประเทศ เป็นไปด้วยความเรียบร้อย แต่เนื่องจากเป็นโครงการใหม่ จะต้องใช้เวลาศึกษาเรียนรู้ โดยเฉพาะผู้ปฏิบัติงานของกระทรวงศึกษาธิการเอง ที่จะต้องมีความเข้าใจหลักการ และกระบวนการทำงาน ตลอดจนกฎระเบียบต่าง ๆ ที่ปรับแก้ให้มีความยืดหยุ่นและสร้างความคล่องตัวมากขึ้น อาทิ การบริหารงานบางส่วนที่ส่งตรงไปยังโรงเรียน หรือการขึ้นตรงกับเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อให้เกิดความคล่องตัว และสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เป็นต้น
ส่วนการดำเนินงานในระยะที่ 2 มีแนวคิดที่จะขยายโครงการไปยังโรงเรียนในพื้นที่ต่าง ๆ อีก 100 แห่ง เพื่อไปสู่เป้าหมายการยกระดับคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนกว่า 30,000 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งแน่นอนว่า เมื่อมีจำนวนโรงเรียนมาก ก็ต้องอาศัยระยะเวลาในการดำเนินการ แต่เมื่อสร้างต้นแบบที่ดีของโรงเรียน 50 แห่งในระยะแรกแล้ว ก็จะช่วยให้โรงเรียนต่าง ๆ ได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน ที่จะช่วยให้เกิดการปรับปรุงและพัฒนาให้ดีขึ้น ตามวัตถุประสงค์และชื่อโครงการ “โรงเรียนร่วมพัฒนา” ต่อไป
นายมีชัย วีระไวทยะ กล่าวว่า ในอนาคตจะต้องใช้โรงเรียนเป็นศูนย์กลางในการปฏิรูปประเทศ จึงต้องพัฒนาเยาวชนให้มีความสามารถในการแข่งขัน รู้จักแบ่งปัน ส่งเสริมให้เด็กมีอาชีพ โดยดึงเอกชนและชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา นักเรียน ผู้ปกครองและชุมชนต้องมีส่วนร่วมในการจัดการเรียนการสอน และการบริหารจัดการโรงเรียน โรงเรียนต้องเปิดโอกาสเด็กได้ไปเรียนรู้อาชีพที่อยากจะทำในอนาคตในสถานที่จริง สอนการเรียนรู้ในการทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตชุมชน โดยประสานกับหน่วยงานหรือสถาบันการเงินในพื้นที่จัดตั้งกองทุนเพื่อให้เด็กและผู้ปกครองนำไปลงทุนเพื่อสร้างอาชีพของตัวเอง ให้ทุกคนมีรายได้หายจากความยากจนและไม่ทิ้งบ้านเกิด
นายวิรัตน์ รักษ์พันธ์ กล่าวว่า จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นเมืองประวัติศาสตร์สำคัญยาวนานมากว่า 800 ปี มีความมั่งคั่งทางศิลปวัฒนธรรม มีวิถีชีวิตที่เป็นอัตลักษณ์ รวมทั้งเป็นเมืองแหล่งอารยธรรม น่าอยู่น่าท่องเที่ยว และเป็นหนึ่งในเมืองรอง ที่ได้รับการส่งเสริมด้านการท่องเที่ยวและส่งเสริมการเกษตรอย่างยั่งยืน ในส่วนของด้านการศึกษามีความยินดีที่ทุกภาคส่วนจะช่วยกันพัฒนาการศึกษาของโรงเรียนชุมชนบ้านสี่แยก และในฐานะคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัดนครศรีธรรมราช ก็มีความพร้อมจะเป็นส่วนหนึ่งของการยกระดับคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนในพื้นที่นี้ต่อไป โดยจะสนับสนุนการทำงานเชิงพื้นที่ ทั้งในส่วนของการสนับสนุนงานด้านวิชาการ การประสานความร่วมมือกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างเต็มที่
ดร.กันตพงศ์ คงหอม ผู้อำนวยการโรงเรียนชุมชนบ้านสี่แยก กล่าวว่า การดำเนินงานโครงการโรงเรียนร่วมพัฒนา หรือ Partnership School เริ่มจากโรงเรียนชุมชนบ้านสี่แยกอาสาขับเคลื่อนโครงการ ฯ เป็นโรงเรียนแรกของจังหวัดนครศรีธรรมราช จึงได้มีโอกาสเข้าร่วมประชุมคณะกรรมการปฏิรูปเพื่อรองรับการปรับเปลี่ยนตามนโยบาย THAILAND 4.0 ซึ่งมีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ที่ทำเนียบรัฐบาล จากนั้นได้เข้าร่วมงานภาคีเครือข่ายการศึกษาไทย TEP FORUM 2018 โดยในงานดังกล่าว มีนายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี และทำงานด้านการศึกษามาอย่างยาวนานได้กล่าวว่า “อย่ากลัวการเปลี่ยนแปลง จงมีความสนุกกับการเปลี่ยนแปลง” เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว จึงเริ่มลงพื้นที่เพื่อชี้แจงวัตถุประสงค์ของโครงการ ประสานความร่วมมือกับชุมชนและผู้นำท้องถิ่น พร้อมทั้งพัฒนานวัตกรรมด้านต่างๆ ร่วมกับภาคเอกชน และมีมหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราชเป็นมหาวิทยาลัยพี่เลี้ยงสนับสนุนการพัฒนาบุลากรในด้านต่างๆ จึงทำให้มั่นใจได้ว่าโรงเรียนมีความพร้อมในการพัฒนาด้านการศึกษาเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคตต่อไป