นายกฯ มอบนโยบายจัดการศึกษาในพื้นที่ EEC

จังหวัดชลบุรี – พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มอบนโยบายการจัดการศึกษาในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และตรวจเยี่ยมความก้าวหน้าการดำเนินงานของศูนย์ประสานงานการผลิตและพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษา เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เมื่อวันจันทร์ที่ 20 พฤศจิกายน 2560 ณ วิทยาลัยเทคนิคสัตหีบ อำเภอสัตหีบ

โดยมีผู้เข้าร่วม อาทิ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม, พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC), นายสุรศักดิ์ เจริญศิริโชติ ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง, นายกิตติพันธุ์ โรจนชีวะ รองผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา, นายชายชาญ เอี่ยมเจริญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี รักษาการผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี, นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา, นายกฤตชัย อรุณรัตน์ เลขาธิการ กศน., ผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ทั้งภาครัฐและเอกชน  ตลอดจนสถานประกอบการ ผู้ปกครอง ศิษย์เก่า นักเรียน และนักศึกษาในพื้นที่ EEC ให้การต้อนรับและร่วมรับฟังนโยบาย


สรุปประเด็นที่นายกรัฐมนตรี
มอบนโยบายในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา

จัดการศึกษาเพื่อร่วมขับเคลื่อนไปสู่การมีงานทำ มีอาชีพ และรายได้ที่เพิ่มขึ้น

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวตอนหนึ่งว่า การอาชีวศึกษามีส่วนสำคัญในการสร้างชาติให้เข้มแข็งเพื่อพัฒนาประเทศในหลายด้านด้วยกัน โดยเป้าหมายประการหนึ่งคือ การสร้างคนให้ทำงานได้ตรงกับความต้องการของประเทศ ผลิตและพัฒนากำลังคนให้มีศักยภาพในการทำงานใน First S-Curve และ New S-Curve ซึ่งสอดคล้องกับการลงทุนและการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ในจังหวัดฉะเชิงเทรา ระยอง และชลบุรี โดยทุกคนต้องไปสู่เป้าหมายเดียวกันทั้งภาครัฐ ภาคการศึกษา และประชาชนในพื้นที่ โดยร่วมกันขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายสุดท้ายคือ การที่เยาวชนมีงานทำ มีอาชีพ และมีรายได้ที่เพิ่มขึ้น สิ่งเหล่านี้จะส่งผลให้เยาวชนมีเงินไปจุนเจือครอบครัวได้มากขึ้น และหากเราไม่พัฒนาคน ไม่พัฒนางาน และไม่พัฒนาอาชีพ เราก็จะอยู่ที่เดิมทั้งระบบ

แนะให้รัฐบาลและประชาชนต้องช่วยกันปรับตัวและไว้วางใจซึ่งกันและกัน

สิ่งสำคัญที่สุดอีกประการหนึ่งในขณะนี้คือ การให้ทุกคนพร้อมที่จะรับฟัง ปรับตัว และปฏิรูปตนเอง โดยรัฐบาลก็ต้องปฏิรูปตนเองด้วยในหลาย ๆ ด้าน และรัฐบาลต้องไว้วางใจประชาชน ในขณะเดียวกันประชาชนก็ต้องไว้วางใจรัฐบาลเช่นกันด้วย

ทั้งนี้ รัฐบาลต้องการสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนในประเทศ ในประเด็นต่าง ๆ เช่น ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางในภูมิภาคอาเซียน ในทางภูมิศาสตร์ เราจึงจำเป็นต้องใช้ศักยภาพนี้ รวมทั้งเสน่ห์ของประเทศ เช่นวัฒนธรรมประเพณีที่ดีงาม ความยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่ใช่คนไทยที่ขัดแย้งกันในเรื่องความคิด ซึ่งประเทศไทยมีความพร้อมที่จะเป็นกลไกตรงกลางในการเชื่อมโยงกับกิจกรรมต่าง ๆ ของประชาคมอาเซียน รวมทั้งประชาคมอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นประชาคมในประเทศกลุ่มตะวันตก, ตะวันออก, หมู่เกาะ, มุสลิม, CLMV โดยต้องพิจารณาดูว่าจะเดินหน้ายุทธศาสตร์ประเทศเพื่อเชื่อมโยงกับกลุ่มประเทศต่าง ๆ ดังกล่าวได้อย่างไร ทั้งในเรื่องของการค้า การลงทุน เศรษฐกิจ สินค้าการเกษตร ดิจิทัล อุตสาหกรรมอาหาร และสิ่งแวดล้อม

แม้นโยบายรัฐบาลจะเข้าสู่ 4.0 แต่ไม่ลืมประชาชนทุกกลุ่มที่มีอาชีพ 1.0-3.0

ทั้งนี้ แม้รัฐบาลจะดำเนินนโยบาย Thailand 4.0 ซึ่งตนเป็นคนคิดขึ้นมานั้น แต่ก็ไม่ได้ทิ้งประชาชนที่ยังคงประกอบอาชีพในยุค 1.0, 2.0 และ 3.0 ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของแรงงาน การใช้เครื่องจักรขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ แต่การที่จะเป็น Thailand 4.0 นั้นคือการสร้างเศรษฐกิจไทยขึ้นมาใหม่ เน้นการตลาด วิจัย พัฒนา หรือใช้ศักยภาพทุกอย่างที่มีอยู่เป็นตัวขับเคลื่อน ที่ผ่านมาการค้าการลงทุนของประเทศมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นถึงร้อยละ 300 ก็ทำให้เราอยู่ได้ และต่อไปอาจจะเป็น Thailand+1 (Plus One) เพื่อสร้างความแข็งแกร่งในอาเซียนให้มีความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้นไปอีก โดยเราจะต้องเดินหน้าไปด้วยกัน และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง (Stronger Together and Leave No One Behind)

รัฐบาลยังได้มุ่งเน้นความเท่าเทียมกันของโอกาส ซึ่งทุกคนต้องไม่ลืมข้อเท็จจริงว่าเรามีประวัติศาสตร์ แม้อาจจะมีปัญหาเกิดขึ้นทั้งปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก และสุดท้ายเราต้องไม่ลืมตัวเราเอง โดยยกพระราชดำรัสคำสอนของในหลวงรัชกาลที่ 9 ในการสร้างคนให้เจริญเติบโตจากภายใน ต้องสร้างความเข้มแข็งได้ด้วยตัวของตัวเอง ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 3 ข้อคือ พอประมาณ มีเหตุผล และมีภูมิคุ้มกันที่ดี

น้อมนำ “ศาสตร์พระราชา” เพื่อขับเคลื่อนประเทศ

ขณะนี้ประเทศไทยกำลังขับเคลื่อนประเทศ Thailand 1.0 ถึง 4.0 ภายใต้ศาสตร์พระราชา เพื่อนำพาประเทศไปอยู่ ณ จุดใด ซึ่งทำได้ด้วยการรับฟังการประเมินจากคนภายนอก เพราะขณะนี้โลกอยู่ได้ด้วยสิ่งเหล่านี้ ซึ่งรัฐบาลก็ได้อำนวยความสะดวกทั้งเรื่องของข้อมูลข่าวสาร การปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน ซึ่งประชาชนทุกคนต้องช่วยกันเป็นหูเป็นตาให้รัฐบาล ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของรัฐบาลเพียงฝ่ายเดียว เพราะหากทุกคนไม่เข้าใจรัฐบาล ไม่ขับเคลื่อนไปด้วยกัน นโยบายต่าง ๆ ที่รัฐบาลกำหนดไว้ก็จะไม่มีทางสำเร็จ

● ฝากประชาชนช่วยกันบรรเทาความเดือดร้อน สร้างโอกาส และความเป็นธรรมให้เกิดขึ้น

นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า ขอขอบคุณภาคเอกชนที่เข้ามามีส่วนร่วมกับพื้นที่ EEC ในครั้งนี้ รวมถึงบริษัทต่างชาติในพื้นที่ EEC ที่จ้างคนไทยทำงาน เพราะความคิดของรัฐบาลคือ ต้องการให้ประชาชนมีงานทำหรือมีรายได้เพิ่มขึ้น ดังนั้น สิ่งที่ภาคเอกชนทำอยู่ทุกวันนี้จะเป็นกุศลให้แผ่นดินนี้ ซึ่งเป็นแผ่นดินที่ทำให้ทุกคนมีที่อยู่อาศัย มีชื่อ-นามสกุล เราจึงต้องตอบแทนแผ่นดินและจะได้สิ่งดี ๆ กลับมา โดยขอความร่วมมือจากประชาชนทำให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้ ต้องทำด้วยกันทุกคน กล่าวคือ ประชากรไทย 70 กว่าล้านคน ต้องช่วยกันทำคนละไม้คนละมือ เราคนไทยด้วยกันทุกคนต้องช่วยกันพัฒนาประเทศ โดยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน สร้างโอกาส และความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นในสังคมประเทศชาติ

● ศธ.ควรผลิตบุคลากรให้รองรับตลาดงานในพื้นที่ และเชื่อมโยงกับภาคเอกชนผู้ผลิต

ด้วยเหตุที่การจัดการศึกษาจึงต้องคำนึงถึงการมีงานทำและรายได้เพิ่มขึ้น จึงเป็นหน้าที่ของบุคลากรในกระทรวงศึกษาธิการ รวมทั้งสถานศึกษาทุกระดับทั้งของรัฐและเอกชน ต้องช่วยกันคิดเพื่อผลิตบุคลากรออกมาให้รองรับกับตลาดงานในพื้นที่ และเชื่อมโยงกับภาคเอกชนที่เป็นผู้ผลิตด้วย เพราะฉะนั้นการเพิ่มเติมความรู้ให้ประชาชน ก็ต้องมีการดำเนินการเป็นขั้นตอน เช่น อาจจะเริ่มต้นพื้นฐานตั้งแต่เริ่มเข้าศึกษาปี 1 หรือกิจกรรมลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้ ก็ต้องสอนให้นักเรียนคิดวิเคราะห์เองได้ ไม่เรียนตามเพื่อน มิฉะนั้นบางสาขามีผู้เรียนจำนวนมากจบแล้วออกมาไม่มีงานทำ จึงฝากข้อคิดในเรื่องนี้ หากสังคมดี ทุกคนก็ดีไปด้วย

● ให้ข้อคิดผู้เรียน “ต้องแข่งขันกัน แต่แข่งขันกับตัวเอง”

นอกจากนี้ แม้ว่าจะมีการพัฒนาสิ่งต่าง ๆ ไปมาก แต่ในที่สุดเราก็ต้องแข่งขันกันให้ได้ ซึ่งการแข่งขันในที่นี้คือ การแข่งขันกับตัวเอง เพื่อให้เป็นตัวเลือกที่มากขึ้นสำหรับผู้ประกอบการ และในโลกนี้ไม่มีอะไรได้มาฟรี ๆ ทุกอย่างต้องมีการแข่งขันทั้งสิ้น เช่น เมื่อเรียนจบ ปวช. หรือ ปวส. หากต้องการใบปริญญาก็ต้องเรียนต่อ เพื่อให้ตัวเองมีงานทำในระดับที่สูงขึ้น หรือการรับสมัครคนเข้าทำงาน ก็จะพิจารณาถึงความหลากหลายในการทำงาน

● ย้ำถึงการส่งเสริมประเทศให้เป็นศูนย์กลางด้านต่าง ๆ

นายกรัฐมนตรี ยังได้ยกตัวอย่างถึงการส่งเสริมประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางด้านต่าง ๆ รองรับ Thailand 4.0 เช่น การแพทย์และการพยาบาล เพราะมีประชาชนตะวันออกกลางเข้ามารักษาตัวในสถานพยาบาลชั้นนำของไทยมากกว่า 10 ล้านคนต่อปี นอกจากนี้ ฮ่องกงยังมองว่าไทยเป็นประเทศที่เป็นผู้นำด้านแฟชั่น เป็นต้น

ดังนั้น ทุกคนต้องช่วยกันคิดว่าจะทำอย่างไรให้ประเทศชาติดำเนินต่อไปได้ ทำให้ตนเองมีความสุขอย่างพอเพียง ด้วยการมีธุรกิจมีอาชีพที่สูงขึ้น พร้อมทั้งฝากให้ประชาชนช่วยกันเฝ้าระวังเรื่องความมั่นคงและการบิดเบือนข้อมูล ถือเป็นการแก้ปัญหาจากข้างล่าง ตลอดจนขอให้หน่วยงานในส่วนท้องถิ่น เช่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อบต. อบจ. เป็นผู้ดูแลประชาชน เพราะหน่วยงานเหล่านี้คือผู้ที่อยู่ใกล้ประชาชนมากที่สุด

● แนะสถานศึกษาและครูผู้สอน ควรปรับเปลี่ยนบทบาทให้ทันเด็กในศตวรรษที่ 21

การจัดการศึกษาระดับอาชีวศึกษาในปัจจุบัน ขอให้ตั้งเป้าหมายสุดท้าย คือ เพื่อผลิตคนให้ตรงกับความต้องการของประเทศ และส่งเสริมให้คนมีงานทำ หรือเตรียมคนทำงานในสถานประกอบการ นำประเทศไปสู่ Smart Thailand แต่ปัญหาหนี้ครูที่มีจำนวนมากก็อาจส่งผลกระทบต่อการสอนได้ ส่วนการอาชีวศึกษาที่ยังคงขาดในเรื่อง STEM Education ก็ต้องพัฒนาในส่วนนี้ให้มากขึ้น

จึงฝากข้อคิดสำหรับสถานศึกษาและครูผู้สอนเพื่อปรับเปลี่ยนบทบาทการเรียนการสอนในยุคปัจจุบัน เพราะปัจจุบันสถานศึกษาส่วนใหญ่ตั้งขึ้นในศตวรรษที่ 19 ส่วนครูเป็นคนในศตวรรษที่ 20 แต่ในขณะที่ผู้เรียนเป็นเด็กในศตวรรษที่ 21 สถานศึกษาจึงควรคิดว่าจะทำอย่างไรที่จะเชื่อมโยงทั้งสามสิ่งนี้เข้าด้วยกัน เพื่อให้นักเรียนมีความสุข ผู้ปกครองภาคภูมิใจ จบแล้วมีงานทำ และสังคมมีความสุขด้วย

● รัฐบาลหวังความเชื่อมั่นจากประชาชนเพื่อให้ประเทศเดินหน้า

นายกรัฐมนตรีกล่าวในตอนท้ายด้วยว่า ฝากให้ทุกคนมีจิตใจที่มุ่งมั่นในการทำงานเพื่อแผ่นดินนี้ เพราะเมื่อเราทำอะไรให้ผู้อื่น สุดท้ายสิ่งนั้นก็จะกลับมา “คนรวยที่ขับรถหรู ๆ อาจจะต้องเปิดกระจกรถมองดูคนจนหรือชาวบ้านที่อยู่บ้านเก่า ๆ เสียบ้าง” เพื่อจะได้เข้าใจและช่วยกัน ย้ำด้วยว่ารัฐบาลต้องการที่จะได้ความเชื่อมั่นจากประชาชน เพื่อให้ประเทศเดินหน้า

จึงขอให้ทุกคนที่มี “สองมือ” อย่าหวั่นใด ๆ แต่พร้อมจะเป็น “สะพาน” ช่วยกันคนละไม้คนละมือ เพื่อปลายทางที่ฝันไว้ของประเทศไทยจะกลายเป็นจริง


ดร.สุเทพ ชิตยวงษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กล่าวเพิ่มเติมถึงการจัดทำหลักสูตรเพื่อพัฒนาบุคลากรในสาขาวิชาต่าง ๆ รองรับอุตสาหกรรมเป้าหมายในพื้นที่ EEC โดยกล่าวว่า สอศ.ได้จัดประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จำนวน 12 หน่วยงาน เพื่อจัดทำแผนพัฒนากำลังคนสนับสนุนเขตพัฒนาพิเศษ ภาคตะวันออก (พ.ศ.2560-2564) เสนอต่อคณะรัฐมนตรี และได้มีมติเห็นชอบแผนงานและวงเงินงบประมาณ จำนวน 619.4 ล้านบาท เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2560

ทั้งนี้ เพื่อให้การขับเคลื่อนแผนงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สอศ.ได้จัดตั้งศูนย์ประสานงานการผลิตและพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษา เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ใน 3 จังหวัด ได้แก่ ชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา รวม 13 ศูนย์ โดยได้ร่วมกันวางแผนผลิตและพัฒนากำลังคน ทำงานแบบบูรณาการ ประสานพลังประชารัฐร่วมกับสถานประกอบการ เพื่อสร้างเด็กอาชีวศึกษาที่มีคุณภาพ มีความสามารถด้านวิชาชีพ โดยวางเป้าหมายกำหนดแผนการผลิต และพัฒนากำลังคนในระยะเวลา 5 ปี พร้อมเสริมทักษะทางด้านภาษาอังกฤษให้กับนักเรียน ให้มีความพร้อมที่จะทำงานในสถานประกอบการด้วย

โดยมีเป้าหมายในการผลิตและพัฒนากำลังคนตามแผนระยะเวลา 5 ปี (พ.ศ.2560-2564) จำนวน 194,675 คน เน้นการผลิตกำลังคนให้สอดคล้องกับ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย First S-Curve และ New S-Curve เพื่อสนองนโยบายของรัฐบาลและตามความต้องการของตลาดแรงงานของภาคอุตสาหกรรมการผลิตในพื้นที่ EEC โดยยืนยันว่า สอศ.มีความพร้อมที่จะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในทุกด้าน เช่น การเรียนการสอน การเพิ่มศักยภาพครูผู้สอน การจัดหาและพัฒนาเครื่องมืออุปกรณ์ การจัดฝึกอบรมหลักสูตรระยะสั้นฐานสมรรถนะ (E2E) เป็นต้น

 


อรพรรณ ฤทธิ์มั่น, บัลลังก์ โรหิตเสถียร: สรุป/เรียบเรียง
อิทธิพล รุ่งก่อน: ถ่ายภาพ
กลุ่มสารนิเทศ สป. และกลุ่มประชาสัมพันธ์ สร.: รายงาน
20/11/2560