บูรณาการด้านการศึกษาภาคเหนือ
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายและแนวทางการบูรณาการด้านการศึกษาระดับภาค (ภาคเหนือ) เพื่อสร้างการรับรู้ ความเข้าใจ ทิศทาง นโยบาย และแนวทางการบูรณาการด้านการศึกษาระดับภาค พร้อมทั้งแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในการบูรณาการด้านการศึกษาระดับภาค (ภาคเหนือ) เพื่อนำแนวทางการบูรณาการการพัฒนาการศึกษาไปสู่การปฏิบัติในระดับภาค โดยมีผู้บริหารเข้าร่วม อาทิ พล.อ.สุทัศน์ กาญจนานนท์กุล ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, นายการุณ สกุลประดิษฐ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ, ดร.สุเทพ ชิตยวงษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา, นายศรีชัย พรประชาธรรม เลขาธิการ กศน., ผู้บริหารศึกษาธิการภาค (ศธภ.) ภาคเหนือ ศึกษาธิการจังหวัด (ศธจ.) ภาคเหนือ ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) และผู้เกี่ยวข้องเข้าร่วม เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2562 ณ สำนักงานศึกษาธิการภาค 15 จังหวัดเชียงใหม่
โดยส่วนกลาง จะเป็นผู้กำหนดนโยบายและให้การสนับสนุน รวมถึงข้อระเบียบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ส่วนในพื้นที่ การบริหารราชการที่รัฐบาลกำหนดให้เป็น 6 ภาค ได้แก่ ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคใต้ และภาคใต้ชายแดน จะมีศึกษาธิการจังหวัด ตลอดจนส่วนราชการในระดับจังหวัด ร่วมกันทำงานเชื่อมโยงกันหมด เพื่อส่งผลให้เกิดผลสัมฤทธิ์ด้านศึกษาอย่างเป็นรูปธรรมและเกิดความยั่งยืน สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาประเทศในบริบทและมิติต่าง ๆ และบรรลุตามวิสัยทัศน์ของประเทศไทยในปี 2580
|
||
1. สป.ศธ. : นำเสนอแนวทางบูรณาการด้านการศึกษาระดับภาค ให้ความสำคัญด้านข้อมูลสารสนเทศ นายอำนาจ วิชยานุวัติ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า ที่ประชุมได้มีการมอบหมายการทำงาน 3 ส่วนด้วยกัน คือ 1) สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ โดยมีสำนักงานศึกษาธิการภาค 15 เป็นตัวอย่าง และเชิญศึกษาธิการภาคอีก 5 ภาค รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใน สป. คือ สำนักงาน ก.ค.ศ./กศน./สช./ศธจ.ในพื้นที่ มาร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพิ่มเติม โดยได้กำหนดแนวทางการบูรณาการด้านการศึกษาระดับภาค (ภาคเหนือ) คือ 1) ประชาชนทุกกลุ่มวัยได้รับการศึกษาในระบบต่าง ๆ และเรียนรู้ตลอดชีวิต 2) เด็กและเยาวชน ผู้เรียน มีทัศนคติที่ถูกต้อง มีพื้นฐานชีวิตที่เข้มแข็ง 3) การจัดการศึกษาสอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาประเทศ ที่เป็นการบูรณาการแผนงาน โครงการให้มีความสอดคล้องเชื่อมโยงกัน รวมทั้งการจัดทำงบประมาณเชิงบูรณาการ สามารถตอบสนองต่อการพัฒนาภาคเหนือ คือ “ฐานเศรษฐกิจสร้างสรรค์มูลค่าสูง เชื่อมโยงเศรษฐกิจกับประเทศในกลุ่มอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง” อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ ศธ. ให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกคือ ข้อมูลสารสนเทศ โดยรัฐบาลมอบหมายให้ ศธ. ดูแล Big Data 2 เรื่อง คือ ข้อมูลจำนวนเด็กในวัยเรียน และข้อมูลความต้องการกำลังคนด้านอาชีวศึกษา ซึ่งส่วนภูมิภาคจะมีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงข้อมูลเหล่านี้ด้วย เพื่อให้เกิดการบูรณาการร่วมกันกับส่วนกลางอย่างแท้จริง 2. อาชีวะ : เชื่อมโยงทุกหน่วยต่อเนื่อง เร่งจัดทำ Big Data ของศูนย์ประสานงานฯ ภาคเหนือ 3 ศูนย์ย่อยให้เสร็จในเดือนกุมภาพันธ์นี้ นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขาธิการ กอศ. กล่าวว่า สอศ. มีการบูรณาการร่วมกับ สพฐ./สกอ./กศน. อย่างต่อเนื่อง เช่น เรื่องของหลักสูตรของอาชีวศึกษาที่เชื่อโยงกับการศึกษาขั้นพื้นฐานและอุดมศึกษา โดยจะดำเนินการก่อนเปิดภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2562, เรื่องการจัดการศึกษาของผู้พิการ ปัจจุบันมีเด็กที่อยู่ในระบบจำนวน 4,343 คน, โครงการทุนการศึกษาเฉลิมราชกุมารี นักเรียนของอาชีวศึกษาได้รับทุน จำนวน 120 ทุน, การจัดการศึกษาเรียนร่วมหลักสูตรอาชีวศึกษาและมัธยมศึกษาตอนปลาย (ทวิศึกษา) ปีที่ผ่านมา สอศ. จัดสรรงบประมาณจำนวน 237 ล้านบาท มีผู้เรียน 40,000 คน ตลอดจนดำเนินงานโครงการโรงเรียนประชารัฐประชารัฐ ร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นการบูรณาการที่เป็นรูปธรรมอย่างชัดเจน นายศุภพิสิษฐ์ ไกรศรวัชร ผู้อำนวยการวิทยาลัยพณิชยการบึงพระพิษณุโลก รายงานเกี่ยวกับข้อมูลศูนย์ประสานงานการผลิตและพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษาภาคเหนือ มีจำนวน 3 ศูนย์ ประกอบด้วย 1) ซึ่งทุกศูนย์ฯ มีภารกิจเร่งงดวน คือ จัดเก็บข้อมูลสถานประกอบการที่ลงทะเบียนกับกรมโรงงานอุตสาหกรรม โดยจัดประชุมผู้รับผิดชอบของสถาบันอาชีวศึกษาภาคเหนือตามศูนย์กลุ่มจังหวัด เพื่อชี้แจงแนวทางการปฏิบัติงาน ในการนำสถานประกอบการที่จดทะเบียนกับกรมโรงงานอุตสาหกรรม มาลงทะเบียนในระบบ Big Data System ให้เสร็จสิ้นทั้งหมดภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 3. สถาบัน กศน.ภาคเหนือ : ร่วมขับเคลื่อนระดับพื้นที่ ขานรับนโยบายของรัฐบาล นายศรีชัย พรประชาธรรม เลขาธิการ กศน. กล่าวถึงการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาล โดยชูบทบาทของ “สถาบัน กศน.ภาคเหนือ” เพื่อบูรณาการร่วมกับศึกษาธิการภาคและศึกษาธิการจังหวัด ตามโครงสร้างการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาในภูมิภาคของ ศธ. ซึ่งมีผลงานดำเนินงาน ดังนี้ 1) สนับสนุนการขยายผลชุมชนต้นแบบตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน เป้าหมายคือให้เกิดความชัดเจนสำเร็จเป็นรูปธรรม และให้ความสำคัญกับระบบรายงานเป็นพิเศษ มีการกำหนดช่วงเวลาการทำงานให้มีความชัดเจน รวมถึงดำเนินการไปให้ครบทุกชุมชนต้นแบบ 2) มอบหมายให้สถาบัน กศน.ภาคเหนือ เข้าไปเป็นผู้ชี้แจงดำเนินการแก้ไขปัญหาประชากรที่อยู่นอกระบบ การศึกษาในภูมิภาค โดยตั้งเป้าให้เป็นแห่งแรกที่สามารถทำการเก็บประชากรตกหล่นให้ได้ผลมากที่สุด จากนั้นจึงดำเนินการคืนเด็กตกหล่นเหล่านี้เข้าสู่ระบบการศึกษา ซึ่งมีเป้าหมายจะทำให้สำเร็จก่อนเปิดภาคเรียนในเดือนมีนาคม 2562 3) ขยายผลการอบรมหลักสูตรการค้าออนไลน์อย่างเป็นรูปธรรม โดยเน้นที่หน้าเพจของร้านค้า ซึ่งได้รับความร่วมมือและคำปรึกษาจากมหาวิทยาลัยบูรพา เข้ามาช่วยดำเนินการและให้แนวคิดในการพัฒนาหลักสูตร 4) ส่งเสริมให้ประชากรอ่านออกเขียนได้ ซึ่ง กศน.มีวัตถุดิบที่เป็นเรื่องของการอ่านในพื้นที่อยู่แล้ว คือห้องสมุดของ กศน.จำนวนกว่า 900 แห่ง มีห้องสมุดทุกรูปแบบ เช่น ห้องสมุดชาวตลาด ห้องสมุดชาวเรือ ห้องสมุดเคลื่อนที่ เป็นต้น โดยปีนี้ กศน.จะเพิ่มเรื่องการอ่านให้ประชาชนสามารถอ่านออกเขียนได้ครบทั้ง 4 กระบวนการทักษะ คือ ฟัง พูด อ่าน เขียน ตลอดจนส่งเสริมการเรียนภาษาที่ 2 และ 3 เพื่อขานรับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีอีกด้วย 5) ส่งเสริมการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม คือการบริหารจัดการขยะภายในชุมชน รวมทั้งการลดการใช้พลาสติกลงให้ได้ นอกจากนี้ จะขอเสนอเปิดสถาบัน กศน.ภาคใต้ชายแดนเพิ่มให้ครบ 6 ภาค เนื่องจากเดิม กศน.มี 5 ภาค ขณะที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กำหนดภาคการพัฒนาออกเป็น 6 ภาค จึงควรเพิ่มสถาบัน กศน.ภาคใต้ชายแดนขึ้น เพื่อขอบูรณาการร่วมกับศึกษาธิการภาคใต้ชายแดนและสำนักงาน กศน.ภายใต้ข้อสั่งการสำคัญที่เรียกว่า กศน.เข้มแข็ง ในปี 2562 ให้ได้ |
รมช.ศธ.มอบแนวทางดำเนินงาน และข้อเสนอแนะในการทำงาน
กล่าวเพิ่มเติมภายหลังรับฟังรายงานของทุกหน่วยงานว่า การประชุมครั้งนี้เป็นการชี้แจงทิศทางการทำงานที่ชัดเจนมาก ซึ่งแต่ละหน่วยงานชี้ให้เห็นแล้วว่าจะเชื่อมโยงการทำงานในส่วนของภาคเหนืออย่างไร จึงฝากแนวทางดำเนินการ ดังนี้ พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์
ให้ไปดำเนินการเพิ่มเติมในส่วนขยายให้เชื่อมโยงกัน ซึ่งศึกษาธิการภาคจะต้องมีลักษณะประจำตัว คือ “เป็นนักเชื่อมโยง” ไม่ว่าจะเป็นในระดับภาคหรือในระดับพื้นที่ เพื่อให้เกิดการบูรณาการอย่างแท้จริง
พื้นที่นวัตกรรมการศึกษา 6 ภาค ถือเป็นเรื่องใหม่ที่คาดว่าจะเข้าสู่การพิจารณาของ สนช.ในเร็ว ๆ นี้ จะเป็นการพัฒนาการศึกษาแบบที่เรียกว่าพลิกโฉมหรือมีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ โดยนำร่องภาคละ 1 จังหวัด ที่เชียงใหม่ (ภาคเหนือ) ศรีสะเกษ
(ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) กาญจนบุรี (ภาคกลาง) สตูล (ภาคใต้) และยะลา-นราธิวาส-ปัตตานี (ภาคใต้ชายแดน) เพื่อให้เกิดความรอบคอบ ซึ่งเมื่อออกเป็น พ.ร.บ.แล้ว จะมีการออกเป็นกฎหมายบังคับใช้ โดยให้มีกรอบการทำงาน 7 ปี มีการทบทวนเป็นระยะ หากการนำร่องก้าวหน้าด้วยดี ก็จะทำให้เกิดความเข้มแข็งในลำดับต่อไป ซึ่งในส่วนของ สพฐ.ก็ได้มีการขยายงานเรื่องนี้ โดยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้ในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา ซึ่งมีการประชุม “EDU Digital 2019” ที่จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา และจะดำเนินการในภาคอื่น ๆ ต่อไป การพัฒนาคุณภาพประชากรด้วยการออกกำลังกาย หรือการนำการกีฬาเข้าสู่วงการศึกษาตามนโยบายของรัฐบาล ศธ.ได้รับมอบหมายดำเนินการรณรงค์ให้ประชาชนร่วมออกกำลังกาย โดยในห้วง 3-4 เดือนที่ผ่านมา ศธ.เปิดสถานศึกษาให้ประชาชนได้เข้ามาใช้เล่นกีฬาและออกกำลังกาย โดยเฉพาะสถานศึกษาของ สพฐ. ที่มีกว่า 30,000 แห่ง จึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ไปดำเนินการในส่วนนี้ต่อไป เพราะพื้นฐานสุขภาพเป็นเรื่องที่จะทำให้เกิดคุณภาพของประชากรทั้งการพัฒนาจิตใจ ร่างกาย ทักษะความรู้เพิ่มเติม รวมถึงการมีคุณธรรมด้วย
ให้แต่ละภาคจัดทำข้อมูลสารสนเทศของทุกภาคให้เป็นระบบ โดยใช้งบประมาณ ฐานข้อมูล และบุคลากรที่มีอยู่แล้วมาดำเนินการ เนื่องจากเมื่อ “ฐานข้อมูลมีความสมบูรณ์” ก็จะนำไปสู่การทำงาน กำกับดูแล ติดตามผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เน้นสร้างการรับรู้ความเข้าใจให้เกิดขึ้น ขณะที่การดำเนินงานทุกขั้นตอน ทุกหน่วยงานต้องสร้างการรับรู้ควบคู่ไปด้วย และหากมีความจำเป็นในเรื่องของระเบียบต่าง ๆ ก็สามารถนำเสนอเข้ามาได้
รมช.ศึกษาธิการ กล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า มติ ครม. เมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้รับทราบเรื่องที่ประเทศไทยจะเป็นประธานการจัดประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ซึ่ง ศธ. มีประเด็นที่เกี่ยวข้อง คือ การแลกเปลี่ยนนักศึกษา การแก้ไขปัญหาประชากรวัยเรียนที่อยู่นอกระบบการศึกษา และการเรียนรู้ของอาชีวศึกษา จึงขอให้ทุกหน่วยงานที่รับผิดชอบเตรียมข้อมูลนำเสนอในที่ประชุมด้วย โดยเฉพาะ กศน./สอศ.จะต้องเป็นเจ้าภาพในการประชุม เนื่องจากได้มีการคัดกรองและผ่านมติของที่ประชุมรัฐมนตรีศึกษาอาเซียน ให้เป็นเจ้าภาพการประชุมในเรื่องดังกล่าว ซึ่งถือเป็นเกียรติยศของประเทศไทยที่ได้เป็นเจ้าภาพในครั้งนี้
Written by ปารัชญ์ ไชยเวช, อิชยา กัปปา
Photo Creditอิชยา กัปปา
Rewriter/ Editor บัลลังก์ โรหิตเสถียร