ประชุม คกก.Partnership School ที่บุรีรัมย์
-
ตรวจเยี่ยมโรงเรียนบ้านโคกขามโนนสมบูรณ์ อ.ชำนิ (ภาคเช้า)
ศ.
-
ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมสนับสนุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพลังจากภาคเอกชนที่จะเข้ามาช่วยเติมเต็มการทำงานของระบบราชการ สามารถดึงคนเก่ง ๆ เข้ามาร่วมกันพัฒนาสถานศึกษาได้มากขึ้น
-
ต้องการพัฒนาคุณภาพการศึกษาและยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา เพื่อให้ลูกหลานมีอนาคตที่สดใส โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีการบริหารจัดการให้เป็นโรงเรียนเตรียมอาชีพให้เด็ก ๆ
-
ต้องปรับตัวให้เป็นศูนย์กลางวางเป้าหมายการเปลี่ยนแปลง เพื่อพัฒนาสถานศึกษาให้เชื่อมโยงกับชุมชน หรือช่วยแก้ปัญหาของชุมชน
-
สามารถจัดการศึกษาภายใต้ความมีอิสระ 3 เรื่อง คือ อิสระในการออกแบบหรือปรับหลักสูตร อิสระในการออกแบบหรือจัดการเรียนการสอน และอิสระในการบริหารจัดการ
ทั้งนี้ กระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) คาดหวังให้โรงเรียนร่วมพัฒนาเป็นจุดเริ่มต้นหรือเป็นต้นแบบให้กับโรงเรียนอื่นทั่วประเทศ ด้วยการปรับทัศนคติใหม่
นายมีชัย วีระไวทยะ กล่าวว่า โรงเรียนร่วมพัฒนามีแนวทางในการสร้างเด็กให้เป็นคนดี ฝึกทักษะด้านต่าง ๆ ให้มีความเก่งและมีความสามารถ สร้างเด็กให้รู้จักการแบ่งปัน ส่งเสริมให้เด็กมีอาชีพ ในอนาคตอาจจะมีการจัดตั้งกองทุนเพื่อให้เด็กและผู้ปกครองในชุมชนนำเงินไปลงทุนสร้างอาชีพด้วยตนเอง ทำให้เด็กไม่ทิ้งบ้านเกิดและเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาชุมชน โรงเรียนต้องทำให้ผู้ปกครองหายยากจน เป็นประตูแห่งการเปลี่ยนแปลงในหมู่บ้าน หรือเป็นโรงเรียนที่เตรียมอนาคตในด้านต่าง ๆ สำหรับเด็ก เช่น เตรียมเด็กให้เป็นครูด้วยการฝึกให้รุ่นพี่สอนรุ่นน้อง, เตรียมเกษตรโดยสอนให้นักเรียนมีทักษะการปลูกพืชและการเกษตร, เตรียมท่องเที่ยวด้วยการพานักเรียนไปเยี่ยมชมสถานที่ต่าง ๆ ในพื้นที่ เป็นต้น
หลักการก็คือเมื่อเด็กต้องการประกอบอาชีพอะไร ครูก็พาเด็กไปสร้างความคุ้นเคยกับอาชีพนั้น อย่างน้อย 1 วันต่อสัปดาห์ เพื่อให้เด็กได้เรียนรู้จากสถานที่ปฏิบัติงานจริง ทำให้เด็กรู้ตนเองว่าชอบอาชีพนั้นหรือไม่ เนื่องจากผู้อำนวยการโรงเรียนและครู คือผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับเด็กที่สุด และเป็นคนสร้างเด็ก จึงขอฝากให้ผู้อำนวยการโรงเรียน ครู และคนในชุมชน ช่วยกันพัฒนาโรงเรียนในพื้นที่เพื่อให้การดำเนินงานประสบผลสำเร็จอย่างจริงจังด้วย
นายสุรพล เศวตเศรนี กล่าวว่า ในนามไทยเบฟ รู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ได้เข้ามาทำงานร่วมกับภาครัฐและคนในชุมชน ตามโครงการโรงเรียนร่วมพัฒนา โดยไทยเบฟได้ให้การสนับสนุนโรงเรียนร่วมพัฒนาจำนวน 19 โรงเรียน จาก 50 โรงเรียนในระยะแรก สำหรับสิ่งที่ไทยเบฟได้ดำเนินการ คือ การนำความชำนาญในเรื่องของความรู้ด้านการทำธุรกิจเข้ามาเสริมและเติมเต็มในโรงเรียน อีกทั้งไทยเบฟมีเครือข่ายบริษัทที่หลากหลายและมีความชำนาญหลากหลาย จึงได้นำความร่วมมือในส่วนนี้มาช่วยพัฒนาทักษะชีวิต ทักษะอาชีพ และการมีคุณธรรมและจริยธรรม ให้กับเยาวชนในโครงการ ตลอดจนนำหลักของ “บวร” คือ การพัฒนาบ้าน วัด และโรงเรียน มาขยายผลเป็น “บวร” ซึ่งได้แก่ บริษัท วิสาหกิจชุมชน และส่วนราชการ พื่อทำงานร่วมกันอย่างจริงจัง โดยมุ่งเน้นการไม่เพิ่มภาระให้โรงเรียน ในขณะเดียวกันจะมุ่งเน้นการเพิ่มโอกาสในการฝึกทักษะให้เยาวชนสามารถเติบโต พึ่งพาตนเอง และพร้อมช่วยเหลือสังคม
นอกจากนี้ ไทยเบฟยังได้รับความร่วมมือที่ดีจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และได้มีการเตรียมแผนงานเพื่อสะท้อนผลการดำเนินงานจากโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการในระยะแรกที่มีความต้องการแตกต่างกัน เพื่อเตรียมพร้อมการทำงานด้านต่าง ๆ ให้มีผลสัมฤทธิ์อย่างต่อเนื่อง
น.ส.สุจรรยา ขาวสกุล ผอ.โรงเรียนบ้านโคกขามโนนสมบูรณ์ กล่าวว่า โรงเรียนบ้านโคกขามโนนสมบูรณ์มีจุดแข็ง คือ การมีผู้นำและคนในชุมชนมีความพร้อมและช่วยกันพัฒนาชุมชนในพื้นที่ให้เข้มแข็งและแข็งแกร่งขึ้น โดยที่ผ่านมาได้รับการสนับสนุนจากไทยเบฟในการเข้ามาร่วมเป็นคณะกรรมการที่ปรึกษาของโรงเรียน ด้วยการศึกษาสภาพปัญหาและร่วมวางแผนกับคณะกรรมการสถานศึกษาและผู้นำชุมชน โดยมีเป้าหมายคือสร้างคนที่มีทักษะชีวิต ทักษะอาชีพ และเป็นคนที่มีคุณภาพ ซึ่งตลอดระยะเวลาที่เข้าร่วมโครงการโรงเรียนร่วมพัฒนาก็ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ไปในทางที่ดี เช่น โรงเรียนกลายเป็นแหล่งเรียนรู้และสร้างรายได้ให้แก่คนในชุมชนโดยได้รับความร่วมมือจากมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ในการเป็นมหาวิทยาลัยพี่เลี้ยง ช่วยแนะนำการดำเนินงานด้านต่าง ๆ เป็นต้น
-
การประชุม “คณะกรรมการพัฒนานวัตกรรมการบริหารจัดการสถานศึกษาในรูปแบบ Partnership School
เพื่อรองรับการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0″ ครั้งที่ 8/2561 ที่ รร.มีชัยพัฒนา อ.ลำปลายมาศ (ภาคบ่าย)
ในภาคบ่าย ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทรเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนานวัตกรรมบริหารจัดการสถานศึกษาในรูปแบบ Partner Ship School เพื่อรองรับการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาตามนโยบาย Thailand 4.0 ครั้งที่ 8/2561 ณ โดมเวฬุสโมสร โรงเรียนมีชัยพัฒนา อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ โดยสรุปผลการประชุมดังนี้
– ผลการตรวจเยี่ยมโรงเรียนภาคเรียนที่ 1/2561
ที่ประชุมได้สรุปการตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายโครงการโรงเรียนร่วมพัฒนา (Partnership School Project) ภาคเรียนที่ 1/2561 ถึงปัจจุบัน มีกลุ่มบริษัทที่สนับสนุนการพัฒนาจำนวน 11 บริษัท 1 มูลนิธิ และมีโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการในรุ่นที่ 1 จำนวน 50 โรงเรียน โดยรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร) ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมให้กำลังใจพร้อมมอบนโยบายแก่สถานศึกษาที่เข้าร่วมโครงการ โดยยึดวัตถุประสงค์ 4 ข้อ คือ 1) เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่าง ๆ 2) เพื่อพัฒนาคุณภาพและรังสรรค์นวัตกรรมการบริหารจัดการสถานศึกษา 3) เพื่อให้สถานศึกษาเป็นแหล่งเรียนรู้ตลอดชีวิต 4) เพื่อให้สถานศึกษาได้รับโอกาสในการพัฒนาอย่างทั่วถึง
ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้โครงการโรงเรียนร่วมพัฒนาประสบความสำเร็จ คือ การมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน และการกำหนดเป้าหมายในการพัฒนานักเรียนเชื่อมโยงสู่การแก้ไขปัญหาชุมชน และสร้างการเรียนรู้ตลอดชีวิตกับคนทุกช่วงวัยในพื้นที่ ซึ่งครูจะเป็นผู้ผลักดันที่สำคัญเพราะอยู่ใกล้ชิดเด็กและชุมชนมากที่สุด โดยปรับบทบาทเป็นการแนะนำ ให้คำปรึกษา อำนวยความสะดวก หรือคอยตั้งคำถามเพื่อกระตุ้นการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ส่งเสริมให้เด็กเกิดทักษะการคิดวิเคราะห์ ซึ่งการจะทำให้เด็กเติบโตเป็นคนที่ดีและมีคุณภาพ จะต้องได้รับการปลูกฝังการศึกษาตั้งแต่ระดับเล็ก ๆ โดย ศธ.ได้ดำเนินการในหลายส่วนควบคู่กันไป เพื่อหล่อหลอมให้เด็กเติบโตเป็นกำลังคนที่สำคัญต่อการพัฒนาพื้นที่ชุมชนและประเทศ
ในการตรวจเยี่ยมตลอดภาคการศึกษา 1/2561 ที่ผ่านมา มีข้อสังเกตว่าชุมชน องค์กรส่วนท้องถิ่น และภาคเอกชนให้ความสนใจ และร่วมมือสนับสนุนโครงการเป็นอย่างยิ่ง ตลอดจนบริษัทเอกชนที่เป็นผู้สนับสนุน มีความตระหนักและเห็นความสำคัญในการมีส่วนร่วมพัฒนาการศึกษา รวมถึงมีข้อเสนอแนะเพื่อการพัฒนาในลำดับต่อไปคือ ควรมีรายละเอียดและแนวทางการดำเนินงานที่ชัดเจนให้กับสถานศึกษาที่เข้าร่วมโครงการ รวมทั้งสร้างความเข้าใจกับสถานศึกษาและผู้สนับสนุนเป็นระยะ เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้และปรับปรุงแก้ไขปัญหา ควบคู่กับการสร้างความเข้าใจแก่บุคลากรในสถานศึกษาที่เข้าร่วมโครงการเพื่อให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
นายดุสิต เขมะศักดิ์ชัย ที่ปรึกษากรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กลุ่มไทยเบฟได้สนับสนุนโรงเรียนร่วมพัฒนาในหลายด้าน ซึ่งที่ผ่านมามีผลตอบรับของโรงเรียนเป็นอย่างดี และมีข้อเสนอเพิ่มเติมให้โรงเรียนในโครงการโรงเรียนร่วมพัฒนา ให้ความสำคัญกับการเรียนรู้สิ่งรอบตัว โดยเริ่มต้นทำแผนชุมชนของโรงเรียน ซึ่งแต่ละโรงเรียนจะมีแผนของตนเองในระดับตำบลหรืออำเภอตามความเหมาะสมของพื้นที่
นายมีชัย วีระไวทยะ ในฐานะประธานมูลนิธิมีชัยวีระไวทยะ กล่าวว่า ในการจัดการศึกษาจะต้องไม่ลืมครู นักเรียน และชุมชน สิ่งสำคัญคือต้องสอนให้นักเรียนทำธุรกิจเป็น สร้างวิสาหกิจเพื่อสังคมขึ้นมาให้ได้ ที่ผ่านมาเรามีการส่งเสริมความรู้ด้านอาชีพให้โรงเรียนมาตลอด และปัจจุบันควรมีการเน้นเรื่องวิชาการหรือทักษะในการทำธุรกิจอย่างจริงจังเพิ่มขึ้นด้วย โดยมีหลักการคือ 1) จะสอนด้านทักษะวิชาการเกี่ยวกับการทำธุรกิจอะไรให้กับนักเรียน 2) ผู้ปกครองและชุมชนต้องเกิดความรู้สึกว่าได้รับความช่วยเหลือ 3) จะใส่ความรู้อะไรให้ครูบ้าง 4) ขอให้มีวิสาหกิจเพื่อสังคม และสอนให้ทุกคนรู้ว่าธุรกิจทำอย่างไร สามารถแบ่งปันกันได้อย่างไร และทำไมจะต้องแบ่งปันกัน
ทั้งนี้ รมช.ศึกษาธิการ ให้ความเห็นว่า อีกไม่นานจะมีการปลดล็อคระเบียบที่จะสามารถทำให้การทำงานคล่องตัวขึ้น และต้องการให้มีการนำผู้บริหารสถานศึกษามาพูดคุยหารือกันเป็นระยะ เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การทำงานร่วมกัน ตลอดจนขอให้มีการทำเวิร์คช็อปผู้สนับสนุน เพื่อเป็นการปฏิบัติงานที่ดีที่สุด
– การติดตามประเมินผลโครงการ “เน้นรูปแบบการส่งเสริมศักยภาพตามความถนัด”
รศ.ดร.จีรเดช อู่สวัสดิ์ กรรมการบริษัท มิตรผล จำกัด นำเสนอแนวคิดการประเมินโรงเรียนร่วมพัฒนาให้เป็นการประเมินเพื่อเปิดมุมมองในทุกมิติทั้งชุมชน สามารถเป็นกระจกสะท้อนหาจุดแข็งและเสริมต่อยอด รวมถึงจุดที่จะต้องพัฒนาให้ดีขึ้น เพื่อช่วยในการวางแผน (Action Plan)ในอนาคตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการประเมินจะมีทั้งเชิงปริมาณ เช่น ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา ข้อมูลสถิติต่าง ๆ เป็นต้น และการประเมินเชิงคุณภาพ โดยยึดหลักการประเมินคือการยอมรับความหลากหลาย (Room for Diversity) การประเมินเชิงบวก (Positive Evaluation) และการประเมินควบคู่กับการปฏิบัติ (Practice-Oriented Development)
ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทรกล่าวว่า แนวทางดังกล่าวเป็นการประเมินยุคใหม่ที่ต้องทำให้ง่าย สอดคล้องกับนโยบายของ ศธ. โดยเน้นให้โรงเรียนกำหนดเป้าหมายและแสดงหลักฐานให้เห็น ถือเป็นวิสัยทัศน์ใหม่ของการศึกษาไทยที่ต้องมีหลากหลายรูปแบบตามบริบทของแต่ละแห่ง ซึ่งเด็กรุ่นใหม่ในปัจจุบันสามารถเรียนรู้พัฒนาตนเองมาได้แล้วในระดับหนึ่ง ดังนั้นจะจัดการศึกษาแบบสมัยก่อนไม่ได้ โรงเรียนต้องปรับแนวคิดใหม่โดยครูจะเติมเต็มสิ่งที่เด็กขาดทั้งด้านความรู้ ทักษะ สมรรถนะ การฝึกปฏิบัติ หรือการบ่มเพาะด้านต่าง ๆ ที่สำคัญจะต้องดึงความถนัดของเด็กออกมาแล้วสนับสนุนส่งเสริมให้เกิดศักยภาพอย่างสูงสุด ขณะที่การประเมินโรงเรียนจะต้องมองไปข้างหน้า สามารถตอบโจทย์เด็กรุ่นใหม่ และเป็นการส่งเสริมไม่ใช่การควบคุม
– การคัดเลือกโรงเรียนเข้าร่วมโครงการ รุ่นที่ 2
ในปีงบประมาณ พ.ศ.2562 มีโรงเรียนสนใจเข้าร่วมโครงการโรงเรียนร่วมพัฒนา จำนวน 42 โรงเรียน แบ่งเป็นโรงเรียนที่มีผู้ให้การสนับสนุนแล้วจำนวน 16 โรงเรียน (9 บริษัท) โรงเรียนที่ยังไม่มีผู้ให้การสนับสนุน จำนวน 26 โรงเรียน และบริษัทผู้สนับสนุนแต่ยังไม่มีโรงเรียน จำนวน 4 บริษัท ซึ่งกลุ่มโรงเรียนที่มีผู้ให้การสนับสนุนแล้วนั้น ที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้ดำเนินการได้
ทั้งนี้ ที่ประชุมได้มีข้อเสนอแนะให้พิจารณาโรงเรียนที่อยู่ในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาทั้ง 6 ภาคด้วย ซึ่งขณะนี้ยังขาดโรงเรียนในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) และจังหวัดกาญจนบุรี (ภาคกลาง) ที่ประชุมจึงมอบหมายให้ สพฐ. และคณะทำงานนำข้อมูลดังกล่าวไปพิจารณาร่วมกับโรงเรียนและบริษัทที่ยังไม่ได้จับคู่กันด้วย
– เดินหน้าสร้างการรับรู้โครงการโรงเรียนร่วมพัฒนา
ที่ประชุมได้รับทราบรายงานแผนการประชาสัมพันธ์โครงการโรงเรียนร่วมพัฒนา เพื่อสร้างการรับรู้ความเข้าใจที่จะส่งผลต่อความร่วมมือของทุกภาคส่วน ในช่วงภาคเรียนที่ผ่านมาผ่านสื่อต่าง ๆ อยากหลากหลาย รวมทั้งแผนการดำเนินงานระยะต่อไป ที่จะมีการสร้างการรับรู้ความเข้าใจและเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ผ่าน 3 ช่องทางหลัก ได้แก่
1. On Air : ในรายการต่าง ๆ ทางสถานีโทรทัศน์และวิทยุกระจายเสียง เพื่อให้เกิดการรับรู้ในวงกว้างผ่านสื่อหลัก เช่น รายการ ศธ.360 องศา,
2. Online : ทาง Social Media ต่าง ๆ อาทิ Facebook-Twitter-YouTube
3. On Ground โดย ศธ.จะมีการจัดงานวันครูประจำปี 2562 ในวันที่ 16-18 มกราคม 2562 ซึ่งในงานจะมีการจัดแสดงนิทรรศการเพื่อประชาสัมพันธ์ผลงานของ ศธ. รวมทั้งโครงการโรงเรียนร่วมพัฒนาด้วย โดยมีเป้าหมายผู้เข้าร่วมงานกว่า 10,000 คนต่อวัน
ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า การประชาสัมพันธ์โครงการโรงเรียนร่วมพัฒนามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง โดยเน้นย้ำให้สร้างการรับรู้ที่มีผลกระทบมากขึ้น ตอบรับการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 21 และต้องการให้ทีมประชาสัมพันธ์ของภาคเอกชนเข้ามาร่วมงานกับทีมประชาสัมพันธ์ของ ศธ.ด้วย เพื่อช่วยเปิดมุมมองการทำงาน สร้างสีสันให้มีผลงานออกมาหลายมิติ ซึ่งผู้แทนกลุ่มบริษัทเซ็นทรัลจะนำประเด็นดังกล่าวไปหารือเพื่อดำเนินการต่อไป