ปาฐกถาที่ มข.

รมช.ศธ.ปาฐกถาการประชุมวิชาการประจำปี 2559
คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น





จังหวัดขอนแก่น นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ปาฐกถา กวี ทังสุบุตร เรื่อง ความเปลี่ยนแปลง ความท้าทาย และโอกาสในระบบการดูแลสุขภาพประชาชน ในการประชุมวิชาการประจำปี ครั้งที่ 32 ประจำปี 2559 ของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เมื่อวันพุธที่ 12 ตุลาคม 2559 ที่อาคารเตรียมวิทยาศาสตร์คลินิก ชั้น 2 คณะแพทยศาสตร์ โดยมี รศ.ชาญชัย พานทองวิริยะกุล คณบดีคณะแพทยศาสตร์ คณาจารย์ และนักศึกษา ให้การต้อนรับและเข้าร่วมรับฟังกว่า 100 คน



รมช.ศึกษาธิการ กล่าวตอนหนึ่งว่า ในเรื่องของความเปลี่ยนแปลง (Changes) เป็นเรื่องที่เรารู้น้อยมาก แม้แต่ในวงการแพทย์ ขณะนี้ยังไม่รู้ว่าจะลดน้ำหนักอย่างไร แม้แต่ประชาชนในสหรัฐอเมริกาหรืออังกฤษก็มีปัญหาเรื่องความอ้วนเพิ่มขึ้นเรื่อย ซึ่งเป็นเรื่องที่มนุษย์ต้องการการเปลี่ยนแปลง แต่เมื่อได้พิจารณาในเรื่องของการแพทย์แล้ว มีเรื่องอีกมากมายที่เราไม่รู้และต้องค้นหาคำตอบอีกจำนวนมาก ซึ่งล้วนมีที่มาและมีปัจจัยต่าง ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องและเชื่อมโยงกันอย่างซับซ้อน


อย่างไรก็ตาม หากเราสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นได้จริง ซึ่งถือเป็นงานที่มีความท้าทายในทุกวงการไม่ใช่เฉพาะในวงการแพทย์เท่านั้น เมื่อนั้นโอกาสต่าง ๆ ในการดำเนินงานให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชน สังคม และประเทศชาติ ก็สามารถเกิดขึ้นได้ในอนาคตอันใกล้นี้เช่นกัน


ในส่วนของการศึกษานั้น McKinsey ได้เปิดเผยถึงการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลต่อการปฏิรูปการศึกษาที่ประสบความสำเร็จ ดังนี้




  • Crisis กล่าวคือ ทุกการเปลี่ยนแปลงมักเกิดจากความเสี่ยงเสมอ ไม่ว่าจะเป็นทางการเมืองหรือทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ มีความเป็นไปได้ว่าเศรษฐกิจเป็นผลสะท้อนกลับที่ดีของคุณภาพด้านการศึกษา เพราะเมื่อคนมีการศึกษาที่ดี ก็จะมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีอิสระ และรู้จักที่จะกระจายอำนาจหรือดำเนินนโยบายต่าง ๆ ให้เห็นผลเป็นรูปธรรมมากขึ้น



  • External report  ซึ่งผลการรายงานพบว่า แทบจะไม่มีองค์กรใดที่เปลี่ยนแปลง เพราะคนในองค์กรบอกว่าจะต้องเปลี่ยน



  • Leadership ประเทศที่เปลี่ยนได้สำเร็จ จะต้องมีผู้นำที่ดี เช่น ประเทศสิงคโปร์ที่มีผู้นำอย่างลีกวนยู ซึ่งได้กล่าวไว้ว่าผู้นำคือผู้ที่พาองค์กรจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง ซึ่งควรจะไป แต่คนในองค์กรอาจจะยังไม่กล้าไปหรือไปไม่เป็น


ในส่วนของความเปลี่ยนแปลงด้านการศึกษาประเทศไทย กระทรวงศึกษาธิการได้ดำเนินงานให้เกิดความเปลี่ยนแปลงหลายด้านในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นด้านหลักสูตร เช่น ในปี 2561 จะมีการปรับลดสาระวิชาเรียน เพื่อให้เด็กเรียนตามความจำเป็นในการพัฒนาแต่ละช่วงวัย, ระบบการพัฒนาและฝึกอบรมครู ที่พัฒนาทักษะการสอนของครูให้สามารถดึงศักยภาพของเด็กออกมาพร้อม ๆ กับทำให้เด็กคิดและแสดงสิ่งเหล่านั้นออกมาให้ได้ โดยไม่จำเป็นต้องเรียนมาก แต่ต้องเรียนเพื่อให้รู้ให้ลึก, การเพิ่มชั่วโมงเรียนภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-3 จาก 1 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เป็น 5 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เป็นต้น


นอกจากนี้ คำที่สำคัญคำหนึ่งที่เกี่ยวกับการบริหารงานในสถาบันอุดมศึกษา ก็คือ “The management you think right” โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกระแสของการ Re-Profiling, Re-Structuring ของหน่วยงานด้านการศึกษาไทยในปัจจุบัน พบว่าเป็นเพียงการคิดคำใหม่เพื่อเปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ แต่นั้นก็ยังไม่ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงจริง เนื่องจากไม่มีการวางแผนงานอย่างเป็นรูปธรรม แผนงานไม่นำไปสู่การปฏิบัติได้จริง และไม่มีการพูดถึงเรื่องสำคัญ ๆ เช่น ในเรื่องของสภามหาวิทยาลัย ที่จะต้องทำหน้าที่บริหารงาน เป็นศูนย์รวมของแนวคิดด้านการบริหาร, ต้องมี CEO ก็คืออธิการบดีมหาวิทยาลัย ที่จะเป็นผู้นำความเปลี่ยนแปลง ตลอดจนมีกลยุทธ์ในการดำเนินงานที่ทุกคนในมหาวิทยาลัยมีส่วนร่วม และมีการกำหนดค่าตอบแทนที่เหมาะสมและเป็นธรรม หากไม่มีการดำเนินการสิ่งต่างๆ เหล่านี้ การ Re-profiling เพื่อการเปลี่ยนแปลงก็อาจไม่ประสบความสำเร็จ



ในส่วนของโอกาสทางการศึกษา ขณะนี้ระบบการศึกษามีโอกาสที่สำคัญในการปฏิรูปตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งระบุให้มีปรับปรุงพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติฉบับใหม่ ภายใน 2 ปี และต้องมีกฎหมายปฏิรูปการศึกษาด้วย โดยในส่วนของการปฏิรูปอุดมศึกษาเห็นว่ามีความจำเป็นที่จะต้องกำหนดช่วงเวลา (slot) ของการ Re-profile มหาวิทยาลัยต่างๆ โดยทุกมหาวิทยาลัยที่เข้าร่วมโครงการก็ต้องเข้าสู่กระบวนการปฏิรูปตามกฎหมายใหม่ ที่จะเป็นการยกเว้นกฎหมายและกฎเกณฑ์เดิมที่ร้อยรัดอยู่ มิฉะนั้นเราจะปฏิรูปไม่ได้และจะไม่เกิดความเปลี่ยนแปลงใดๆ เลย


รมช.ศึกษาธิการ กล่าวถึงการปฏิรูปอุดมศึกษาโดยเฉพาะในคณะแพทยศาสตร์ว่า ฝากไว้ว่าไม่ควรที่จะปฏิรูปโครงสร้าง (Structure Reform) เพื่อหวังให้เกิดผลการเปลี่ยนแปลงในองค์การ เพราะจะเป็นการมุ่งเป้าไปสู่ตำแหน่งงานเพียงอย่างเดียว ดังเช่นการปฏิรูปการศึกษาที่ผ่านมาเมื่อปี 2542 ที่ต้องใช้เวลาหลายปีกว่าการปฏิรูปจะเกิดความลงตัว จึงแนะนำให้มีการวางแผนอย่างรอบคอบและรัดกุม โดยควรเริ่มจากการเปลี่ยนแปลงของสภามหาวิทยาลัย (บอร์ด) และการเตรียมสร้าง Leadership Team ไว้เป็นการล่วงหน้า เพื่อให้มีคนรุ่นใหม่ขึ้นมาทดแทนได้ทันการ ทั้งการเตรียมความพร้อมตัวบุคคลและการทดลองทำงานในตำแหน่งผู้นำการเปลี่ยนแปลง ที่จะสามารถแก้ไขข้อบกพร่องที่เกิดจากการทำงานจริงได้ เรียกว่าจะต้องมีการวางแผนการเตรียมการเป็นผู้นำองค์การล่วงหน้านานเป็นเวลากว่า 10 ปี มิใช่เลือกคนที่ใกล้เกษียณมาทำงานในตำแหน่งผู้นำดังเช่นในปัจจุบัน


อนึ่งในช่วงท้ายของการปาฐกถา ได้นำเสนอคลิปวีดิทัศน์เกี่ยวกับประสบการณ์การเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่มีความเก่าแก่เป็นอันดับสองของสหราชอาณาจักร และเป็นมหาวิทยาลัยที่มีผู้ได้รางวัลโนเบลสูงที่สุด เพื่อให้เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างแนวทางการดำเนินงานที่ดีในวงการอุดมศึกษาไทย
 



นวรัตน์ รามสูต, บัลลังก์ โรหิตเสถียร : สรุป/รายงาน
นวรัตน์ รามสูต : ถ่ายภาพ
13/10/2559