ปาฐกถาพิเศษที่ มศว

รมช.ศธ.ปาฐกถาพิเศษ
“นโยบายทางการศึกษากับแพทยศาสตรศึกษา
ในประเทศไทย”


นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “นโยบายทางการศึกษากับแพทยศาสตรศึกษาในประเทศไทย” ในการประชุมวิชาการแพทยศาสตรศึกษาแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 17 เมื่อวันพุธที่ 19 ตุลาคม 2559 ณ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว)

รมช.ศึกษาธิการ กล่าวตอนหนึ่งว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีพระราชดำรัสเกี่ยวกับเรื่องของการศึกษาไว้มากมาย ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการได้ขอให้ครูน้อมนำกระแสพระราชดำรัส เพื่อใช้เป็นแนวทางในการสอนเด็กและเยาวชนของไทย เช่น

  • ให้ครูรักเด็กและเด็กรักครู

  • ให้ครูสอนเด็กให้มีน้ำใจต่อเพื่อน ไม่ให้แข่งขันกัน แต่ให้แข่งขันกับตัวเอง

  • ให้เด็กที่เรียนเก่งกว่าช่วยสอนเพื่อนที่เรียนช้ากว่า ให้ครูจัดกิจกรรมให้เด็กทำร่วมกัน เพื่อให้เห็นคุณค่าของความสามัคคี

นอกจากนี้ พระองค์ได้มีพระราชกระแสด้วยว่า ครูผู้สอนควรจะต้อง “ปฏิวัติ” เพื่อเปลี่ยนวิธีการสอน และพระองค์ยังได้เคยทรงตรัสไว้ด้วยว่า นอกจากครูจะสอนให้เด็กเก่งแล้ว จำเป็นอย่างยิ่งที่จะอบรมให้ดีพร้อมกันไปด้วย ประเทศเราจึงจะได้คนที่มีคุณภาพพร้อมคือทั้งเก่งและทั้งดีมาเป็นกำลัง

ประเด็นสำคัญก็คือ จะต้องให้เห็นความแตกต่างระหว่าง “การศึกษา (Education)” กับ “การอบรม (Training)” ไม่ว่าจะจัดการศึกษาในระดับใดก็ตาม แม้กระทั่งวงการแพทย์ ซึ่งเคยมีชาวต่างประเทศบอกไว้ว่า ทำไมการแพทย์ของไทยดีมาก แต่การศึกษากลับไม่ดีนัก ซึ่งส่วนตัวเห็นว่าน่าจะเป็นเพราะวงการแพทย์ได้ input ที่ดี คือ ได้เด็กเก่งเข้ามาเรียนแพทย์เป็นจำนวนมาก แต่การศึกษาในสาขาอื่น ๆ หากได้เด็กไม่เก่งเข้ามาเรียน ยิ่งจำเป็นต้องมี input อื่น ๆ ที่ดี อีกประการที่สำคัญที่มหาวิทยาลัยของไทย เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีระบบการแพทย์ที่ดีไม่แพ้ชาติในโลก ก็เพราะมีระบบการ Training ที่ดี

  • การศึกษา (Education) นับตั้งแต่มหาวิทยาลัยแห่งแรกของโลกตั้งขึ้นที่ประเทศสเปน จากนั้นจึงได้มีการสั่งสมภูมิปัญญาในสาขาวิชาต่าง ๆ โดยลำดับ แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่ฝากไว้เป็นข้อคิดคือ “การตั้งคำถาม” (Principle : Questioning) เพราะการตั้งคำถามอยู่ตลอด แม้จะยังไม่ได้รีบเอาคำตอบ จะช่วยให้เราได้คิดวิเคราะห์และหาคำตอบ ซึ่งจะนำไปสู่การค้นคว้าและเข้าสู่ระบบการศึกษาที่ดี แม้กระทั่งอาจารย์ผู้สอนชั้นนำระดับโลก เช่น Michael Sandel ซึ่งเป็นอาจารย์ที่ Popular ที่สุดคนหนึ่งซึ่งได้รับเชิญไปบรรยายในประเทศต่างๆ ทั่วโลก ชั่วโมงบรรยายละ 2 ล้านบาท (ดูตัวอย่างประกอบจาก Youtube) ก็ยังให้นักศึกษาพยายามตั้งคำถามต่าง ๆ อยู่ตลอด

  • การอบรม (Training) หลักสำคัญในการฝึกอบรมเรื่องต่าง ๆ คือ ควรมีแนวทางการปฏิบัติ (Principle : Guided Practice) ไว้ด้วย เพราะความรู้และทฤษฎีต่าง ๆ มักจะมาจากการได้ฝึกฝน (Practice) อยู่เสมอ ๆ จนเกิดเป็นทักษะ ความชำนาญการ และนำไปสู่ความเชี่ยวชาญ เหมือนกับการประเมินวิทยฐานะของครูผู้สอน (Level of Expertise) ซึ่งต้องสั่งสมความสามารถในการสอนตั้งแต่ครูผู้ช่วย จนเป็นครูชำนาญการ ชำนาญการพิเศษ เชี่ยวชาญ จนถึงเชี่ยวชาญพิเศษ

รมช.ศึกษาธิการ ได้กล่าวถึงทิศทางของประเทศในขณะนี้ด้วยว่า จำเป็นที่จะต้องส่งเสริมและพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษสำหรับผู้เรียนทุกระดับ เพราะองค์ความรู้ที่สำคัญส่วนใหญ่จะเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งในปีนี้กระทรวงศึกษาธิการได้วางรากฐานที่สำคัญไว้แล้วเกี่ยวกับนโยบายการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษสำหรับครูและผู้เรียนทุกระดับ ซึ่งอาจจะยังไม่เห็นผลในวันนี้หรือปีหน้า แต่จะเห็นผลให้ 5-6 ปีข้างหน้า

นอกจากนี้ รมช.ศึกษาธิการ ได้เปิดวีดิทัศน์ในที่ประชุม ซึ่งเป็นการสัมภาษณ์ของนักศึกษาไทย 2 คน ที่ได้ไปเรียนทางด้านการแพทย์ ในมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ โดยปัจจัยสำคัญที่ทำให้การเรียนภาษาอังกฤษประสบความสำเร็จ คือ ความอยากรู้อยากเห็น พยายามตั้งคำถามและหาคำตอบหรือหาที่ปรึกษาที่ดี ครอบครัวมีส่วนสำคัญต่อการฝึกใช้ภาษา

โอกาสนี้ รมช.ศึกษาธิการ กล่าวย้ำถึงความสำเร็จของนักเรียนและคุณภาพการศึกษาว่า ทุกสิ่งล้วนอยู่ที่ “ครู” จึงต้องการให้ครูเปลี่ยนวิธีการสอน เปิดโอกาสให้เด็กได้พูดคุยด้วย ให้ความสนใจอยู่เสมอเมื่อเด็กมีความคิด (Idea) ใหม่ ๆ และครูควรจะต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่เด็ก เช่น การสอนเรื่องตรงต่อเวลา หากครูเป็นผู้ตรงต่อเวลา จะเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับเด็ก ที่สำคัญคือ “ทักษะ (Skills)” ไม่สามารถแยกออกจาก “ความรู้ (Knowledge)” ได้ ดังนั้นทั้งสองส่วนจึงไม่ควรสอนแยกกัน


บัลลังก์ โรหิตเสถียร : สรุป/รายงาน
อรพรรณ ฤทธิ์มั่น : ถ่ายภาพ
20/10/2559