กระทรวงศึกษาธิการ เผยแพร่บทความ “
ปี 2561 กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ใช้กลไกประชารัฐจัดการแก้ปัญหาประชากรวัยเรียนนอกระบบการศึกษาชายแดนใต้ นำกลับเข้าสู่ระบบการศึกษาได้กว่า 27,376 คน หรือ 60% ของเด็กนอกระบบทั้งหมดในพื้นที่ ผู้แทนยูเนสโกยกย่องความสำเร็จที่เกิดขึ้น ทั่วโลกต้องรับรู้ แนะความสำเร็จการศึกษา ครูต้องสร้างความไว้วางใจต่อประชาชน
เมื่อต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ศูนย์ประสานงานและบริหารการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศปบ.จชต.) จัดแถลงรายงานผล “การดำเนินการแก้ปัญหาประชากรวัยเรียนที่อยู่นอกระบบการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อสาธารณชน” โดยได้รับเกียรติจาก พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ หัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมสรุปผลการดำเนินงาน ที่จังหวัดปัตตานี
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ กล่าวว่า การแก้ปัญหาประชากรวัยเรียนที่อยู่นอกระบบการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นหนึ่งในงานสำคัญที่รัฐบาล “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี” มอบหมายให้กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เร่งดำเนินการ เพื่อยกระดับคุณภาพ และโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาอย่างทั่วถึง
ด้วยความเพียรและมุ่งมั่นตั้งใจของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง นับตั้งแต่การประกาศเจตนารมณ์ร่วมกันเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2560 “พวกเราจะร่วมติดตาม ช่วยเหลือ สนับสนุน แก้ไขปัญหา ให้เด็กวัยเรียนที่อยู่นอกระบบการศึกษาในพื้นที่รับผิดชอบ ได้เข้ารับการศึกษาในรูปแบบต่าง ๆ ครบทุกคน โดยเร็ว”
จนถึงปัจจุบัน กระทรวงศึกษาธิการ (ส่วนหน้า) ได้น้อมนำยุทธศาสตร์พระราชทานของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ 9) “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” รวมทั้งพระบรมราโชวาทในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร (รัชกาลที่ 10) ซึ่งทรงพระราชทานเกี่ยวกับการศึกษาที่ต้องมุ่งสร้างพื้นฐานให้แก่ผู้เรียน 4 ด้าน คือ 1) มีทัศนคติที่ถูกต้องต่อบ้านเมือง ที่ยึดมั่นในสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ 2) มีพื้นฐานชีวิตที่มั่นคง มีคุณธรรมจริยธรรม 3) มีงานทำ มีอาชีพสุจริต 4) เป็นพลเมืองดี เป็นหลักคิดในการดำเนินงาน ตั้งแต่การจัดทำฐานข้อมูลนักเรียน การศึกษาระเบียบกฎหมาย กำหนดแนวทางการติดตาม ค้นหาสาเหตุ และจัดหาที่เรียน พร้อมกำหนดผู้รับผิดชอบดูแลนักเรียน และติดตามผลเป็นระยะ
วันนี้จึงมีผลแห่งความก้าวหน้าเกิดขึ้น โดย ศธ.สามารถนำประชากรวัยเรียนอายุระหว่าง 3-18 ปี เข้าสู่ระบบการศึกษาได้กว่า 27,376 คน คิดเป็นร้อยละ 60.45 ของจำนวนเด็กที่อยู่นอกระบบฯ แบ่งเป็นเด็กปกติ 12,759 คน เด็กออกกลางคัน 7,175 คน จบภาคบังคับ 5,573 คน และเด็กพิการ 1,869 คน พร้อมกำหนดมาตรการป้องกันดูแลและช่วยเหลือนักเรียนที่เข้มแข็ง เพื่อให้คงอยู่ในระบบการศึกษา และเติบโตเป็นเยาวชนที่ดีของชาติในอนาคต
ส่วนประชากรวัยเรียนที่เหลืออีกร้อยละ 40 จะเร่งติดตามนำเข้าสู่ระบบการศึกษาให้ได้ครบ 100% พร้อมจัดระบบช่วยเหลือให้ได้เรียนจนจบการศึกษาขั้นพื้นฐานและมีงานทำ ไม่ว่าจะเข้าเรียนในระบบ นอกระบบ ในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน อาชีวศึกษา หรืออุดมศึกษา
“ความสำเร็จขั้นต้นของการทำงานครั้งนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นด้วย ศธ.เพียงลำพัง แต่เป็นความร่วมมือของทุกฝ่ายในรูปแบบการทำงานประชารัฐ ที่จะเป็นแบบอย่างของการทำงานในพื้นที่ชายแดนใต้ และพื้นที่อื่น ๆ ทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำงานของสำนักงาน กศน. ที่มีครู กศน. ทำงานเข้าถึงประชาชนและชุมชนในทุกพื้นที่ จึงย้ำว่า ศธ.จะยังคงให้ความสำคัญกับนักเรียนพิการ ผู้ด้อย พลาด และขาดโอกาสทางการศึกษาให้มากขึ้น เพื่อให้ทุกคนได้รับการพัฒนาตามความสามารถ ศักยภาพ และความถนัด เพราะ ศธ.จะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง “Leave no one behind”
นายอิชิโร มิยาซาวา ผู้เชี่ยวชาญด้านการรู้หนังสือและการเรียนรู้ตลอดชีวิต ยูเนสโก กล่าวแสดงความยินดีกับประเทศไทยที่ประสบความสำเร็จในการแก้ปัญหาประชากรวัยเรียนที่อยู่นอกระบบการศึกษาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ถือว่าไทยเป็นประเทศผู้นำด้านการศึกษาในภูมิภาคอาเซียน จากการที่รัชกาลที่ 9 ตลอดจนพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ทรงสืบสานพระราชปณิธานและพระราชดำริริเริ่มการส่งเสริมการศึกษาให้กับประชาชนทุกหมู่เหล่า โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่ชายแดน
นอกจากนี้ ไทยยังมีกฎหมายและนโยบายการศึกษาที่สำคัญต่อการจัดการศึกษาให้กับประชากรทุกคน โดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา เช่น มติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการจัดการศึกษาให้แก่บุคคลที่ไม่มีหลักฐานทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย เป็นการเปิดโอกาสทางการศึกษาให้กับประชากรทุกคนที่อยู่อาศัยในประเทศไทย, การยกร่างปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยการสร้างเสริมความเข้มแข็งด้านการศึกษาให้กับเด็กและเยาวชนตกหล่น ที่มีการลงนามรับรองในการประชุมสุดยอดอาเซียน เมื่อปี 2550 ที่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เป็นต้น
ดังนั้น ความสำเร็จของไทยที่เกิดจากความพยายามตลอด 7 เดือนที่ผ่านมา จึงเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น หากแต่สิ่งสำคัญกว่าต่อจากนี้คือ หน่วยงานต่าง ๆ จะต้องร่วมหาแนวทางสนับสนุนเด็กกลุ่มนี้เป็นพิเศษ เพื่อช่วยให้เด็กคงอยู่ในระบบการศึกษาจนสำเร็จการศึกษาได้ และร่วมมือกับทุกภาคส่วนช่วยเหลือเด็กอีก 40% ให้สามารถเข้าสู่ระบบการศึกษาจนสำเร็จการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยที่ยูเนสโกจะร่วมกับอาเซียนจัดการศึกษาให้เด็กตกหล่นในภูมิภาคนี้ที่มากถึง 4.1 ล้านคนเช่นกันด้วย
มุมมองของสหประชาชาติในประเด็นด้านการศึกษา ถือว่า “ครู” เป็นปัจจัยที่สำคัญ และช่วยผลักดันให้เด็กอยากเรียนจนจบการศึกษา ความไว้วางใจต่อครูจึงเป็นสิ่งสำคัญต่อการศึกษา ซึ่งครู กศน. เป็นตัวอย่างของไทยที่แสดงให้เห็นว่าครูได้รับความไว้วางใจจากประชาชน ทำให้ครู กศน. สามารถเข้าถึงประชาชนได้ในทุกตำบลทุกหมู่บ้าน
“ขอแสดงความยินดีในความสำเร็จของการแก้ปัญหาเด็กตกหล่นของไทย ซึ่งสอดคล้องตามปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยการสร้างเสริมความเข้มแข็งด้านการศึกษาให้กับเด็กและเยาวชนตกหล่น และควรเผยแพร่ผลความสำเร็จให้ทั่วโลกรับรู้ ในฐานะองค์การยูเนสโกจะช่วยประกาศและเผยแพร่โครงการส่งเสริมการศึกษาสำหรับเด็กตกหล่นในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับสากล หวังว่าจะมีการขยายผลความสำเร็จการดำเนินงานเช่นนี้ไปยังจังหวัดอื่น ๆ ทั่วประเทศ รวมทั้งประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคอาเซียนด้วย”
กระทรวงศึกษาธิการ