มอบนโยบายการจัดตั้ง ศธภ./ศธจ.

นพ.ธีระเกียรติ
เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และ ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
มอบนโยบายและแนวทางการดำเนินงานในการประชุมชี้แจงเตรียมการจัดตั้งสำนักงานศึกษาธิการภาค
และสำนักงานศึกษาธิการจังหวัด สังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เมื่อวันจันทร์ที่
3 เมษายน 2560 ณ โรงแรมปรินซ์ พาเลซ โดยมีผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ
ศึกษาธิการ-รองศึกษาธิการภาค ศึกษาธิการจังหวัด ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา-มัธยมศึกษา
ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ผู้อำนวยการสำนักงานการศึกษาเอกชนจังหวัด
และเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง เข้าร่วมกว่า
500 คน

นพ.ธีระเกียรติ
เจริญเศรษฐศิลป์
กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้ดำเนินการตามคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
มาตรา
44 เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเกี่ยวกับการบริหารราชการด้านการศึกษาในระดับภูมิภาค
จึงต้องชี้แจงและทำความเข้าใจกับผู้เกี่ยวข้อง ทั้งในเรื่องของกรอบแนวทางการดำเนินงาน
การปฏิบัติงานเชิงพื้นที่ การมอบอำนาจและการแบ่งงาน ตลอดจนโครงสร้างต่าง ๆ
เพื่อให้เกิดการบูรณาการการทำงานและการขับเคลื่อนนโยบายตามยุทธศาสตร์แห่งชาติ

20 ปี ของรัฐบาล และแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2560-2579 ที่จะส่งผลให้การปฏิรูปการศึกษาในยุคนี้เกิดผลโดยตรงต่อครูและผู้เรียนอย่างชัดเจน
เพราะเป็นการดำเนินงานลงไปสู่ระดับปฏิบัติในพื้นที่ ที่จะส่งผลตรงไปถึงตัวเด็กจริง
ๆ ภายใต้การบริหารจัดการการทำงานระดับพื้นที่ตามโครงสร้าง ตามหลักกฎหมาย และคำนึงถึงความเป็นมนุษย์เป็นหลัก

ทั้งนี้ ขอย้ำให้มีการแบ่งงานระหว่างสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ
(สป.)
ไม่ว่าจะเป็นนโยบายการยกระดับภาษาอังกฤษ โครงการพัฒนาครู ฯลฯ ซึ่งล้วนเป็นจุดเน้นนโยบายที่สำคัญของกระทรวงศึกษาธิการและมีความก้าวหน้าการดำเนินงานไปมากแล้ว
อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้อาจก่อให้เกิดความไม่พอใจของคนบางกลุ่มที่เสียประโยชน์
เสียกำลังคนพร้อม ๆ กับงบประมาณที่จะตามคนไปด้วย

ดังนั้น จึงขอให้หารือร่วมกันดี
ๆ พูดคุยกันแบบกัลยาณมิตร เสนอความเห็นแบบตรงไปตรงมา
เพื่อให้มีการบูรณาการการทำงาน ไม่ใช่การแย่งงานกัน
ตลอดจนการบริหารงานบุคคลที่จะเกิดตำแหน่งขึ้นใหม่
โดยส่วนตัวจะให้โอกาสผู้ที่มีความอาวุโสก่อน
เรื่องนี้แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยแต่ถือว่ามีความสำคัญมากในช่วงของรอยต่อของการเปลี่ยนแปลง
จึงต้องคิดร่วมกันว่าจะอยู่อย่างไร ใครจะบังคับบัญชาใคร ใครจะต้องลาใคร เมื่อได้ข้อสรุปร่วมกันอย่างชัดเจนในการดำเนินงานช่วงแรก
ก็จะไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง สิ่งสำคัญคือขอให้ทุกคนนึกถึงครูและเด็กให้มาก ๆ

อย่างไรก็ตาม กระทรวงศึกษาธิการเดินหน้าทำงานอย่างเต็มที่
พร้อมปรับแก้กฎ ระเบียบ หลักเกณฑ์ต่าง ๆ ให้มีความทันสมัยและเอื้อต่อการทำงานมากขึ้นในหลายส่วน
อาทิ

1) (ร่าง) กฎกระทรวงว่าด้วยระบบ
หลักเกณฑ์ และวิธีการประกันคุณภาพการศึกษา พ.ศ.
….
เพื่อให้กลไกวิธีการประเมินมีความกระชับ
ชัดเจน และไม่เป็นภาระด้านเอกสาร พร้อมจะจัดทำมาตรฐานการศึกษาร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
(
Stakeholder) ทุกภาคส่วน และอ้างอิงมาตรฐานสากล สิ่งสำคัญคือให้โรงเรียนรับผิดชอบการประเมินคุณภาพการศึกษาภายในของตัวเอง
โดยกระทรวงศึกษาธิการ … ส่วนสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน)
หรือ สมศ. ทำหน้าที่เป็น
Coaching ช่วยเหลือ แนะนำ เพื่อให้การประเมินนำไปสู่การพัฒนา

2) การจัดการศึกษาสำหรับเด็กปฐมวัย
เมื่อเร็ว ๆ นี้ กระทรวงศึกษาธิการได้ประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านพัฒนาการปฐมวัยกว่า 30 หน่วยงาน
เพื่อวางกรอบแนวทางบูรณาการความเข้าใจแนวทางการดำเนินการจัดการศึกษาสำหรับเด็กปฐมวัยอย่างเป็นรูปธรรม
สามารถนำสู่การปฏิบัติได้ ซึ่งเป็นการดำเนินการรองรับการศึกษาภาคบังคับ ที่มีผลบังคับเมื่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
มาตรา
54 ที่ระบุให้รัฐต้องดำเนินการให้เด็กทุกคนได้รับการศึกษาเป็นเวลาสิบสองปี
ตั้งแต่ก่อนวัยเรียนจนจบการศึกษาภาคบังคับอย่างมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย รัฐต้องดำเนินการให้เด็กเล็กได้รับการดูแลและพัฒนาก่อนเข้ารับการศึกษาฯ

ซึ่งในเบื้องต้นมีการเสนอให้จัดทำฐานข้อมูลเด็กเล็กทั้งระบบ พร้อมกำหนดผู้รับผิดชอบการจัดการศึกษาในพื้นที่โดยคำนึงถึงความพร้อมของท้องถิ่น
ส่วน สพฐ.ทำหน้าที่เสริมในพื้นที่ขาดแคลน และกระทรวงศึกษาธิการสนับสนุนองค์ความรู้และสวัสดิการต่าง
ๆ ทั้งนี้จะสรุปแนวทางการบูรณาการเพื่อจัดการศึกษาและพัฒนาเด็กปฐมวัยของชาติให้แล้วเสร็จ
เพื่อกำหนดเป็นนโยบายดูแลพัฒนาเด็กปฐมวัยต่อไป

นอกจากนี้ ขออย่าได้หลงเชื่อข่าวลือหรือกระแสข่าวที่ออกมาไม่เป็นความจริงเป็นจำนวนมาก
แม้กระทั่งในการประชุมวงเล็ก ก็ยังมีข้อมูลหลุดรอดออกไปภายนอกได้
ดังนั้นในระยะนี้จะพยายามพูดให้น้อย
เพราะแม้จะพูดมากไปสักเพียงใด คนที่ไม่เข้าใจก็ไม่เข้าใจเสียที ต่างกับคนที่เข้าใจอยู่แล้วไม่ต้องพูดมากก็เข้าใจ
แต่ไม่ว่าจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจก็ตาม ทุกคนสามารถแสดงความคิดเห็นได้แบบตรงไปตรงมาด้วยความเป็นสุภาพบุรุษ
เพราะทุกอย่างมีระบบอยู่แล้ว
และที่ผ่านมากระทรวงศึกษาธิการก็พร้อมจะรับฟังและปรับปรุงให้ถูกต้องตามกฎหมายและกฎเกณฑ์ของประเทศ

ทั้งนี้ ในช่วยที่เกิดวิกฤตในระยะหลัง
ตนมีความรู้สึกดีใจที่ชาวกระทรวงศึกษาธิการโดยเฉพาะผู้บริหาร มีการรวมตัวกันเพื่อช่วยกันสื่อสารชี้แจงให้สาธารณชนเข้าใจกับสิ่งที่กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการ
เช่น
เรื่องหลักเกณฑ์การสอบครูผู้ช่วย เป็นต้น ซึ่งเมื่อสามารถจัดระบบการสอบครูให้เป็นมาตรฐาน
เพื่อให้มีครูครบในสาขาที่ขาดแคลนหรือไม่เพียงพอกับความต้องการ ตลอดจนมีคนเก่งเข้ามาเป็นครูมากขึ้น
ทำให้ทุกคนสามารถเข้าระบบได้โดยไม่ต้องใช้เส้นใช้สาย ไม่ต้องขวนขวาย ก็จะช่วยพัฒนาการศึกษาให้ประเทศเจริญก้าวหน้าต่อไปได้

โอกาสนี้ ได้ฝากข้อคิด
8 องค์ประกอบสามัญของระบบการศึกษาที่ดี หนังสือ “A World-Class
Education” เขียนโดย Vivien Stewart ที่จะช่วยขับเคลื่อนการศึกษาไปสู่การเป็นประเทศชั้นนำของโลก
ดังนี้

1) การมีวิสัยทัศน์และภาวะความเป็นผู้นำที่เข้มแข็ง
(
Vision and Leadership)
คือ ผู้นำที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล กล้าคิดกล้าตัดสินใจเพื่อก้าวเดินไปข้างหน้า
เป็นผู้นำในการก้าวเดินของประเทศว่าจะไปทิศทางใด ซึ่งผู้นำของประเทศที่ประสบความสำเร็จด้านการศึกษา
มักจะมี
High
Expectation คือต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุด เพื่อพัฒนาผู้เรียนตามเป้าหมายและบริบทของประเทศให้ได้มากที่สุด
ทั้งในเรื่องของครู หลักสูตร กระบวนการ เป็นต้น

2) การตั้งมาตรฐานระดับสูง (Ambitious
Standards)
ด้วยการกำหนดมาตรฐานหรือเป้าหมายสูงในทุกเรื่อง เช่น นักเรียน ครู สถานศึกษา
หรือแม้แต่หลักสูตร โดยมีความเชื่อมั่นว่าทุกฝ่ายสามารถทำได้

3) ความมุ่งมั่น ตั้งใจ
ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา (
Commitment to Equity)
ต้องมีความมุ่งมั่นในการลดความเหลื่อมล้ำระหว่างโรงเรียนในต่างจังหวัดและโรงเรียนในเมืองให้ได้
หากจะเรียนรู้จากประเทศชั้นนำด้านการศึกษา เช่น สิงคโปร์ หรือ ฟินแลนด์ จะต้องไม่มองแค่ผลลัพธ์ในปัจจุบัน
แต่ให้มองย้อนไปถึงประวัติศาสตร์ว่าแต่ละประเทศเริ่มปฏิรูปการศึกษาจากอะไร และทำอย่างไร
เพราะการจะปฏิรูปการศึกษาได้สำเร็จอาจต้องใช้เวลามากถึง
10 ปี

4) การได้มาและการคงไว้ซึ่งครูและผู้บริหารสถานศึกษาที่มีคุณภาพ
(
High-Quality Teachers and Leaders)

5) ความร่วมมือในการทำงานของทุกภาคส่วนที่สอดคล้องกัน
(
Alignment and Coherence)
การดำเนินงานของทุกภาคส่วนจะต้องมีความสอดคล้องกัน
ทั้งผู้ที่รับผิดชอบเรื่องการประเมิน การจัดทำหลักสูตร และการจัดการ และเป็นเรื่องน่ายินดีที่ขณะนี้
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
(สสวท.) และสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติฯ (สทศ.) จะประสานความร่วมมือกันในวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์
โดย สสวท.จะร่วมกับ สพฐ.ในการร่างหลักสูตร เพื่อให้ สพฐ.นำหลักสูตรไปใช้ และ สทศ.จะรับผิดชอบในการออกข้อสอบ

6) การบริหารจัดการที่ดีและการมีความรับผิดชอบ
(
Management Accountability)

7) การสร้างแรงจูงใจแก่เด็กนักเรียน
(
Student Motivation)
ซึ่งถือเป็นองค์ประกอบที่สำคัญมาก
แต่เมื่อพูดถึงการปฏิรูปการศึกษา ส่วนใหญ่จะเน้นไปที่หน่วยงาน และบุคลากร

8) การมุ่งเน้นพัฒนาเพื่ออนาคตในระดับโลก
(
Global and Future Orientation)
ประเทศที่พัฒนาแล้วมักจะมองโลกในอนาคต
มองไปข้างหน้า เนื่องจากโลกมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ดังนั้น หลักสูตรการเรียนการสอนจึงต้องเปลี่ยนไปด้วย

ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล กล่าวว่า ทิศทางการขับเคลื่อนงานของสำนักงานศึกษาธิการภาค
และสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดนั้น ขอให้คำนึงถึง
6 ประเด็นสำคัญ ดังนี้

1) การบริหารจัดการศึกษาระดับภาคและจังหวัด
เป็นการวางแนวทางการบริหารจัดการศึกษา โดยยึดพื้นที่เป็นหลัก
เพื่อกระจายอำนาจและลดความเหลื่อมล้ำในการจัดการศึกษา
และขับเคลื่อนตามยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ
20 ปี (พ.ศ.2560-2579) รวมทั้งยุทธศาสตร์ของกระทรวงศึกษาธิการ 20 ปีอีกด้วย

2) การจัดโครงสร้างของสำนักงานศึกษาธิการภาคและจังหวัด
จะสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ
  ซึ่งต้องทำหน้าที่ในนามราชการส่วนกลางลงไปในพื้นที่ให้เกิดความสมัครสมานสามัคคี
พร้อมทั้งฝากเรื่องนโยบายสำคัญ เช่น โรงเรียนคุณธรรม ซึ่งเป็นเรื่องที่อยู่ในใจของคนไทยทุกคน
เพราะถือเป็นการสืบสานพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลที่
9 ที่ต้องการให้โรงเรียนคุณธรรมเกิดขึ้นทั่วประเทศ ทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ

3) บทบาทของสำนักงานศึกษาธิการภาค จะทำหน้าที่สำคัญในการกำหนดยุทธศาสตร์และการพัฒนาการศึกษาของภาค
ให้สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศและยุทธศาสตร์ของกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนากลุ่มจังหวัด

4) การบริหารจัดการของสำนักงานศึกษาธิการจังหวัด มีลักษณะของการบริหารราชการที่ผสมผสานระหว่างราชการส่วนกลางและราชการส่วนภูมิภาค
มุ่งหวังเพื่อให้การจัดการศึกษาของชาติในระดับจังหวัดมีคุณภาพเพิ่มมากขึ้น โดยจะต้องได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานของรัฐ
ทั้งในส่วนภูมิภาคและท้องถิ่น ในการสนับสนุนการจัดการศึกษา

5) การมีสำนักงานศึกษาธิการภาคและจังหวัดจะเกิดประโยชน์
ดังนี้

     – มีการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานในภูมิภาคอย่างใกล้ชิดมากขึ้น
 จึงขอให้ความสำคัญในการทำงานประสาน และให้เกียรติในการทำงานร่วมกับหน่วยงานอื่น
ๆ รวมทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น คือ องค์การบริหารส่วนจังหวัด
องค์การบริหารส่วนตำบล เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่แวดวงการศึกษา

     – กระทรวงศึกษาธิการ
จะไม่จัดการศึกษาอย่างโดดเดี่ยวอีกต่อไป
แต่จะมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ทั้งหน่วยงานอื่น ๆ ของรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ชุมชน ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม
เข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น

     – กระทรวงศึกษาธิการ
จะกระจายอำนาจจากองค์กรหลัก
มายังศึกษาธิการภาคและศึกษาธิการจังหวัดมากขึ้น
คือ กระจายงาน งบประมาณ และบุคลากร ซึ่งจะส่งผลให้กระทรวงศึกษาธิการในส่วนกลางมีขนาดเล็กลง
และเขตพื้นที่การศึกษา สถาบันการศึกษา อาชีวศึกษาที่ตั้งอยู่ในแต่ละจังหวัด จะมีความคล่องตัวในการบริหารงานเพิ่มมากขึ้น

6) สิ่งที่ข้าราชการของกระทรวงศึกษาธิการจะพึงปฏิบัติในระดับภาคและจังหวัด

     – จะต้องมีความรู้ความเข้าใจในการปฏิบัติราชการแผ่นดิน
คือ ราชการส่วนกลาง
ซึ่งมี 1 สำนักนายกรัฐมนตรี และ 19
กระทรวง รวมทั้งหน่วยงานและองค์กรอิสระต่าง ๆ, ราชการส่วนภูมิภาค ซึ่งมี 76 จังหวัด และ 878 อำเภอ, ราชการส่วนท้องถิ่น คือองค์การบริหารส่วนจังหวัด องค์การบริหารส่วนตำบล (รวมทั้งกำนันผู้ใหญ่บ้าน)
เมืองพัทยา และกรุงเทพมหานคร

     – มีความเข้าใจในระบบการจัดทำแผนพัฒนากลุ่มจังหวัดและจังหวัด

     – การทำงานร่วมกับส่วนราชการอื่น
ๆ ในจังหวัด

     – ความเป็นผู้มีธรรมาภิบาลและยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง

ทั้งนี้ ในฐานะที่เราทุกคนเป็นเจ้าของกระทรวง
จึงต้องช่วยกันทำให้กระทรวงเป็นปึกแผ่น มุ่งมั่นที่จะทำหน้าที่ให้ดีที่สุดในกรอบอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบ
หากพบเห็นความไม่ชอบมาพากลที่เกิดขึ้นในหน่วยงาน ขอให้แจ้งผู้บังคับบัญชาหรือปลัดกระทรวงศึกษาธิการได้รับทราบ
และฝากให้ช่วยกันสร้างพื้นฐานให้แก่ผู้เรียนใน
2 ด้าน
คือ
1) ส่งเสริมให้นักเรียนมีทัศนคติที่ถูกต้อง 2) การศึกษาต้องมุ่งสร้างพื้นฐานชีวิตหรืออุปนิสัยที่มั่นคงเข้มแข็ง อาทิ
การสร้างบุคลิกและอุปนิสัยที่ดีงาม (
Character Education) เช่น
ความมีวินัย ความซื่อสัตย์สุจริต เป็นต้น

นายชัยพฤกษ์
เสรีรักษ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ
เปิดเผยถึงประเด็นที่จะมีการหารือเพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษากระทรวงศึกษาธิการในภูมิภาค
ตลอดจนมอบหมายภารกิจผู้เข้าร่วมประชุมไปดำเนินการ ใน
4 เรื่องหลัก
คือ

  • ที่ตั้งของ ศธภ.-ศธจ. ซึ่งที่ผ่านมามีที่ตั้งอยู่แล้ว
    แต่เป็นการชั่วคราว จึงต้องมีการหารือร่วมกันเพื่อให้ได้ที่ตั้งของ ศธภ.ทั้ง
    18 แห่ง
    ตลอดจน ศธจ. และ ศธ.กทม. ทั้ง
    77 แห่ง

  • การสรรหาหัวหน้าส่วนราชการ ทั้ง 2 ระดับ คือ ศึกษาธิการภาค/รองศึกษาธิการภาค
    และศึกษาธิการจังหวัด/รองศึกษาธิการจังหวัด เพื่อได้ข้อสรุปโดยเร็ว ที่จะส่งผลต่อการขับเคลื่อนงานได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน

  • การมอบอำนาจ ซึ่งหมายถึงการโอนงาน
    โอนภารกิจ ตลอดจนโอนบุคลากร ที่จะต้องรู้อย่างชัดเจนว่าจะต้องโอนงานใดบ้าง
    เกลี่ยบุคลากรจำนวนเท่าใด ในช่วงเวลาใด คาดว่าจะเป็นการทยอยทำ แบ่งเป็น
    5 ช่วง ไม่ได้เปลี่ยนแปลงครั้งเดียวทั้งหมด

  • การสื่อสารสร้างความเข้าใจ มอบให้ทุกฝ่ายร่วมกันสื่อสารให้คนภายในองค์กรของเราเองมีความเข้าใจที่ตรงกัน
    ทั้งบุคลากรในสำนักงาน ภายในเขตพื้นที่การศึกษา และสถานศึกษา ตลอดจนทำความเข้าใจกับนักเรียนนักศึกษา
    และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ให้ได้รับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น รวมทั้งประโยชน์ที่จะเกิดต่อตัวผู้เรียนด้วย

    นายกมล รอดคล้าย
    เลขาธิการสภาการศึกษา ในฐานะโฆษกกระทรวงศึกษาธิการ
    กล่าวถึงแนวทางปฏิรูปการศึกษาตามแผนการศึกษาแห่งชาติ
    พ.ศ.
    2560-2579
    ว่ามีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบและกระบวนการจัดการศึกษาที่มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพ
    เพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็นพลเมืองดี มีคุณลักษณะ ทักษะ และสมรรถนะที่สอดคล้องกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
    พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ และยุทธศาสตร์ชาติ ตลอดจนเพื่อพัฒนาสังคมไทยให้เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้
    และคุณธรรม จริยธรรม รู้รักสามัคคี และร่วมมือผนึกกำลังมุ่งสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
    และเพื่อนำประเทศไทยก้าวข้ามกับดักประเทศที่มีรายได้ปานกลาง และความเหลื่อมล้ำภายในประเทศลดลง

    โดยมีวิสัยทัศน์คนไทยทุกคนได้รับการศึกษาและเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างมีคุณภาพ
    ดำรงชีวิตอย่างเป็นสุข สอดคล้องกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และการเปลี่ยนแปลงของโลกศตวรรษที่
    21”
    โดยมี 6 ยุทธศาสตร์หลักที่สำคัญ ประกอบด้วย

       – ยุทธศาสตร์ที่ 1 การจัดการศึกษาเพื่อความมั่นคงของสังคมและประเทศชาติ
       – ยุทธศาสตร์ที่ 2 การผลิตและพัฒนากำลังคน
    การวิจัย และนวัตกรรมเพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

       – ยุทธศาสตร์ที่ 3 การพัฒนาศักยภาพคนทุกช่วงวัย
    และการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้

       – ยุทธศาสตร์ที่ 4 การสร้างโอกาส
    ความเสมอภาค และความเท่าเทียมทางการศึกษา

       – ยุทธศาสตร์ที่ 5 การจัดการศึกษาเพื่อสร้างเสริมคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
       – ยุทธศาสตร์ที่ 6 การพัฒนาประสิทธิภาพของระบบบริหารจัดการศึกษา

    ทั้งนี้ เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายใน
    5 ด้าน คือ การเข้าถึงโอกาสทางการศึกษา (Access), ความเท่าเทียมทางการศึกษา
    (
    Equity), คุณภาพการศึกษา (Quality), ประสิทธิภาพ
    (
    Efficiency) และการตอบโจทย์บริบทที่มีการเปลี่ยนแปลง (Relevancy)

    ในส่วนของการขับเคลื่อนแผนการศึกษาแห่งชาติสู่การปฏิบัติ
    จะมีการเตรียมสร้างความรู้ความเข้าใจให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง
    , การสร้างความเชื่อมโยงระหว่างแผนการศึกษาแห่งชาติ
    พ.ศ.
    2560-2579 กับแผนที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ยุทธศาสตร์ชาติ
    นโยบายรัฐบาล แผนพัฒนาการศึกษาระยะ
    5 ปี
    แผนปฏิบัติราชการระยะ
    4 ปี และแผนปฏิบัติการประจำปีของหน่วยงาน
    องค์กร
    , การปรับปรุงกฎ ระเบียบ และกฎหมาย
    ให้เอื้อต่อการขับเคลื่อนการพัฒนาการศึกษาในระดับต่าง ๆ ตลอดจนสร้างช่องทางให้ประชาสังคมมีโอกาสแสดงความคิดเห็นและมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาอย่างกว้างขวางทั้งระดับนโยบายและพื้นที่


    นวรัตน์ รามสูต, บัลลังก์
    โรหิตเสถียร: สรุป/รายงาน

    ยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี: ถ่ายภาพ
    3/4/2560