แผนงานและโครงการสำคัญปีงบประมาณ ๒๕๖๐ ประกอบด้วย อาทิ การลดหย่อนผ่อนปรนภาษีโรงเรือนและที่ดินของสถานศึกษา ตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน (ประสานสมาคมเพื่อรวบรวมข้อมูล และมีหนังสือถึงสำนักงานกฤษฎีกาขอพิจารณาให้ความช่วยเหลือ), การเสริมสร้างคุณภาพโรงเรียนเอกชนขนาดเล็ก (พัฒนาศักยภาพครูปฐมวัย ผู้บริหารและครูผู้สอน และศึกษาแนวทางการอุดหนุน), การปรับปรุงอัตราเงินอุดหนุนรายบุคคลนักเรียนโรงเรียนเอกชน (ศึกษาแนวทางการให้เงินอุดหนุนเพื่อเพิ่มคุณภาพการศึกษาเอกชน), การยกระดับคุณภาพภาษาอังกฤษนักเรียนโรงเรียนเอกชน และพัฒนาคุณภาพผู้เรียนโรงเรียนเอกชน (ปรับกระบวนการเรียนการสอนภาษาอังกฤษที่เน้นการสื่อสาร การอบรม Boot Camp) และการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนโรงเรียนเอกชน (การศึกษา STEM Education, Project Base Learning, Problem Base Learning, Active Learning, การท่องสูตรคูณ และเรียนประวัติศาสตร์ไทย)
อีกทั้ง สช.ได้กำหนดยุทธศาสตร์การดำเนินงาน ดังนี้การพัฒนาหลักสูตร กระบวนการเรียนการสอน การวัดและประเมินผล, การผลิต พัฒนา ครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา, การผลิตและพัฒนากำลังคน รวมทั้งงานวิจัยที่สอดคล้องกับความต้องการของการพัฒนาประเทศ, การขยายโอกาสในการเข้าถึงบริการทางการศึกษาและเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต, ส่งเสริมการพัฒนาระบบเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการศึกษา และการพัฒนาระบบบริหารจัดการและส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า สช.ควรจะปรับแผนยุทธศาสตร์ใหม่ โดยเน้น 2 ยุทธศาสตร์คือ 1.ยุทธศาสตร์การเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับสถานศึกษาเอกชน และ 2.ยุทธศาสตร์การรักษามาตรฐานการจัดการศึกษาของสถานศึกษาเอกชน และขอให้ สช. เข้มแข็งในการทำงาน เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับการศึกษา และโรงเรียนเอกชนต่อไป
ทั้งนี้ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ได้กล่าวในโอกาสนี้ว่า สช. มีโรงเรียนในสังกัดที่ต้องให้ความสำคัญและสนับสนุนอย่างจริงจัง ได้แก่ โรงเรียนกวดวิชา และโรงเรียนเอกชนการกุศล อีกทั้งขอให้ สช.เน้นให้โรงเรียนสังกัด มีการสอนท่องสูตรคูณ และการเรียนประวัติศาสตร์ทุกโรงเรียน เพื่อเป็นการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนอย่างแท้จริง
ปกรณ์/รายงาน
กิตติกร/ธนภัทร ภาพ
กลุ่มสารนิเทศ สอ.สป.
|