ลงพื้นที่ ครม.สัญจร ภาคตะวันออก

พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการดำเนินงานขับเคลื่อนการบูรณาการการศึกษาภาคตะวันออก และการพัฒนาการศึกษาในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) ของกระทรวงศึกษาธิการ ครั้งที่ 1/2561 เมื่อวันจันทร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ 2561 ณ โรงแรมโกลเด้น ซิตี้ อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง ซึ่งเป็นภารกิจการลงพื้นที่ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ในพื้นที่ภาคตะวันออก

3 ปีที่ผ่านมา ศธ.พร้อมจัดการศึกษาในพื้นที่ภาคตะวันออก เริ่มต้นจากเขตเศรษฐกิจพิเศษ 2 จว. สู่พื้นที่ EEC 3 จว. และขยายครอบคลุมภาคตะวันออก 8 จว.

พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ กล่าวในที่ประชุมว่า ห้วงเวลา 3 ปีที่ผ่านมาได้มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนงานด้านการศึกษาในพื้นที่ภาคตะวันออกมาโดยตลอด นับตั้งแต่ขับเคลื่อนการจัดการศึกษาในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตราดและสระแก้ว จนกระทั่งรัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศเมื่อวันที่ 17 ม.ค.2560 ให้มีเขตระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ก็ได้มีการจัดทำแผนการศึกษารองรับ EEC ในพื้นที่ 3 จังหวัด คือ ชลบุรี ฉะเชิงเทรา และระยอง จนกระทั่งคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 18 ก.ค.2560 ได้เห็นชอบยุทธศาสตร์พัฒนากำลังคนสนับสนุน เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (พ.ศ.2560-2564) ศธ.จึงได้มีการวางแผนจัดการศึกษา โดยพัฒนาจาก 3 จังหวัดในพื้นที่ EEC ให้เป็น 8 จังหวัดในระดับภาคตะวันออก คือ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด นครนายก ปราจีนบุรี และสระแก้ว

สิ่งที่เห็นเป็นรูปธรรมชัดเจนในการจัดการศึกษาภาคตะวันออก คือ ศธ.ได้อนุมัติแผนพัฒนาการศึกษาในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ระยะ 5 ปี (พ.ศ.2560-2564) เรียบร้อยแล้ว โดยวาง 4 เป้าหมายหลักในการจัดการศึกษา คือ 1) ผู้เรียนมีทักษะด้านภาษา การใช้เทคโนโลยี มีความรู้ด้านอุตสาหกรรมใหม่ สามารถสร้างนวัตกรรมและมีคุณภาพชีวิตที่ดี 2) ผู้บริหาร ครู และบุคลากรทางการศึกษา มีความรู้ด้านอุตสาหกรรมใหม่และมีศักยภาพในจัดการเรียนรู้ ควบคู่กับการปฏิบัติจากสถานการณ์จริงหรือสถานการณ์จำลอง 3) สถานศึกษาเป็นแหล่งเรียนรู้ในการพัฒนากำลังคน 4) เครือข่ายทุกภาคส่วนทั้งในและต่างประเทศมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา

● วางเป้าหมายจัดการศึกษาในพื้นที่ เพื่อรองรับการเป็น “ฐานเศรษฐกิจชั้นนำของอาเซียน”

อย่างไรก็ตาม ได้ย้ำมาโดยตลอดถึงการวางแผนบูรณาการการศึกษา เพื่อพัฒนาภาคตะวันออกและพื้นที่ EEC ให้เป็น “ฐานเศรษฐกิจชั้นนำของอาเซียน” ขอให้ทุกหน่วยงานติดตามข้อมูลข่าวสาร ความก้าวหน้า พัฒนาการด้านต่าง ๆ ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ มาประกอบพิจารณาการจัดทำแผน ไม่ว่าจะเป็นมิติทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ความมั่นคง ฯลฯ และจะต้องครอบคลุมการทำงานของหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม รวมทั้งข้อมูลทั้งภายในและต่างประเทศ แม้กระทั่งสื่อมวลชนก็ต้องมีส่วนร่วมด้วย เพราะทั้งหมดล้วนมีผลเกี่ยวข้องกับการวางแผนและการพัฒนาอย่างต่อเนื่องทั้งสิ้น โดยเฉพาะเทคโนโลยีและความก้าวหน้าในด้านต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในอาเซียนและภูมิภาคอื่นๆ ทั่วโลก

● ย้ำสิ่งสำคัญที่สุดของแผน “ขับเคลื่อนให้เกิดผลสัมฤทธิ์”

ทั้งนี้ เมื่อแผนเกิดการพัฒนาแล้ว ก็ต้องการให้มีการทบทวนแผนเป็นห้วง ๆ แต่สิ่งสำคัญกว่านั้นคือ “การขับเคลื่อนแผนให้เกิดผลสัมฤทธิ์” ซึ่งถือเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ดังนั้น การประชุมในครั้งนี้จึงถือเป็นความต่อเนื่องที่จะให้ทุกหน่วยงานพิจารณาแนวทางการทำงานที่ผ่านมา และแนวทางที่จะดำเนินงานต่อไป โดยขอให้รับฟังความเห็นและข้อเสนอของทุกท่านทุกหน่วยงาน ไปประกอบการพิจารณาจัดทำแผนให้มีความสมบูรณ์มากที่สุด

อย่าละเลยการสร้างการรับรู้ความเข้าใจ ให้มองประชาชนเป็นศูนย์กลาง

นอกจากนี้ รัฐบาลได้เน้นย้ำมาโดยตลอดว่า ในการทำงานทุกด้านควรจะต้องมีการสร้างการรับรู้ความเข้าใจให้เกิดขึ้น ถือเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องทำควบคู่ไปกับการวางแผน เพื่อทำให้คนภายในองค์กรของเรารับรู้เสียก่อน จะได้เกิดความเข้าใจร่วมกันว่าควรจะวางแผนทำงานต่อไปกันอย่างไร จากนั้นจึงสร้างการรับรู้ความเข้าใจไปสู่องค์กรภายนอกทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เพราะเมื่อประชาชนมีความเข้าใจแล้ว ก็จะเกิดความร่วมมือ ถือเป็นหลักการทำงานที่พึงประสงค์ตามต้องการ

เมื่อเกิดความร่วมมือแล้ว ท้ายที่สุดก็คือ “ประชาชน” ซึ่งรัฐบาลถือว่าเป็นศูนย์กลางการทำงาน ก็จะได้รับประโยชน์สูงสุดจากการทำงานของเราต่อไป

ประธานสภาอุตฯ แนะให้สร้าง “มาตรฐานวิชาชีพ” และร่วมมือกับ ตปท.ที่เป็นผู้นำด้านนั้นๆ

ประธานสภาอุตสาหกรรมภาคตะวันออก กล่าวว่า ที่ผ่านมาเห็นว่า ศธ.มีการทำงานเชิงบูรณาการได้ดี ซึ่งสภาอุตสาหกรรมในพื้นที่ทุกจังหวัดพร้อมให้การสนับสนุนแนวทางการจัดการศึกษาที่จะต้องสอดคล้องรองรับกับ 10 หลักสูตรใหม่ที่รองรับอุตสาหกรรมเดิมที่มีศักยภาพ (First S-curve) และอุตสาหกรรมอนาคต (New S-curve)

อย่างไรก็ตาม ฝากให้ ศธ.พิจารณาเรื่อง “มาตรฐานของวิชาชีพ” ไว้ด้วย เพราะโลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วมาก จึงต้องการให้ ศธ.มีความร่วมมือในการจัดการศึกษากับประเทศที่เป็นผู้นำในเทคโนโลยีอุตสาหกรรมหรือบริการนั้น ๆ เช่น อุตสาหกรรมทางการราง – สาธารณรัฐประชาชนจีน, สื่อมัลติมีเดีย – สาธารณรัฐเกาหลี, อุตสาหกรรม 4.0 เยอรมนี, อุตสาหกรรมด้าน ICT สหรัฐอเมริกา, อุตสาหกรรมกลุ่มยานยนต์ – ญี่ปุ่น, Smart City เยอรมนี สหรัฐอเมริกา, การพัฒนาระบบ Software – อินเดีย เป็นต้น

ดังนั้น หาก ศธ.เร่งการวางแผนผลิตพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษาและอุดมศึกษา เพื่อรองรับกลุ่มอุตสาหกรรมสาขาใหม่ ๆ เหล่านี้ได้ จะช่วยให้ผู้ลงทุนต่างชาติเห็นแนวทางการทำงานที่เป็นรูปธรรม และเกิดความมั่นใจที่จะเข้ามาลงทุนเพิ่มขึ้นในพื้นที่ภาคตะวันออก

ผู้ตรวจฯ “อำนาจ” เผยผลการประชุมครั้งนี้ เตรียมหลายโครงการเข้า ครม.สัญจร

นายอำนาจ วิชยานุวัติ ผู้ตรวจราชการ ศธ. ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการดำเนินงานขับเคลื่อนฯ กล่าวถึงผลการประชุมในครั้งนี้ว่า เป็นการประชุมครั้งแรกของคณะกรรมการชุดนี้ หลังจากที่ได้มีการปรับปรุงคำสั่งคณะกรรมการขับเคลื่อนใหม่ให้รองรับทั้งภาคตะวันออกและพื้นที่ EEC เพราะคำสั่งเดิมเน้นเฉพาะพื้นที่ EEC เท่านั้น

ทั้งนี้ ที่ประชุมได้รับทราบแผนบูรณาการด้านการศึกษาภาคตะวันออก (พ.ศ.2562-2564) ที่กำหนดวิสัยทัศน์ไว้ว่า “มีความเป็นเลิศด้านการศึกษา สู่การพัฒนาเศรษฐกิจชั้นนำในอาเซียน” ที่จะทำงานภายใต้ 5 ยุทธศาสตร์ คือ 1)  การพัฒนาบุคลากร การศึกษา วิจัย และเทคโนโลยี 2) พัฒนาระบบการเรียนการสอนทุกระดับ 3) พัฒนาผู้เรียนและบุคลากร 4) พัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้คู่คุณธรรม 5) สนับสนุนการอนุรักษ์ ฟื้นฟูทรัพยากร โดยเกี่ยวข้องกับสำนักงานศึกษาธิการภาค 3 และภาค 9 รวมทั้งรับทราบโครงการต่าง ๆ ของ ศธ.ที่จะเสนอต่อที่ประชุม ครม.อย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ในพื้นที่ภาคตะวันออก วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2561 ณ จ.จันทบุรี

ชูการต่อยอดผลิตภัณฑ์ผู้เรียนอาชีวะไปสู่เชิงธุรกิจ

อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ ที่ประชุมได้เห็นชอบการนำผลิตภัณฑ์ของผู้เรียนอาชีวศึกษา มาขยายผลเพื่อจำหน่าย โดยอาจจัดตั้งเป็นรูปแบบขององค์กรนิติบุคคลเฉพาะ การรวบรวมผลิตภัณฑ์ดีเด่นมาทำในเชิงธุรกิจ ซึ่งพบว่าขณะนี้มีชิ้นงาน ผลิตภัณฑ์ นวัตกรรมที่ได้รับรางวัลในโครงการประกวดสิ่งประดิษฐ์ของคนรุ่นใหม่ระดับชาติ 151 ชิ้นงาน ในจำนวนนี้เป็นชิ้นงานในภาคตะวันออก 24 ชิ้นงาน และได้รับรางวัลระดับชาติ 5 ชิ้นงาน

หากพิจารณาจากรูปแบบที่สำนักนายกรัฐมนตรีได้แนะนำให้ศึกษาระบบเศรษฐกิจคันไซ ของญี่ปุ่นแล้ว พบว่าทั้ง 24 ชิ้นงานสามารถขยายผลให้เป็นระบบ Supply Chain ย่อยของ 10 อุตสาหกรรมได้ เช่น “น้ำยาบ้วนปากเยื่อไผ่” ที่เชื่อมกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีฯ หรือ “รถตุ๊กตุ๊กดับเพลิง” สามารถเชื่อมกับอุตสาหกรรมยานยนต์, “อุปกรณ์ขุดมันสำปะหลัง” ที่เชื่อมต่อกับการเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ เป็นต้น

● ตั้งเป้าผลักดันให้ต่อยอดผลิตภัณฑ์อาชีวะเข้าสู่ Supply Chain ย่อยของ 10 อุตสาหกรรม

ที่ประชุมจึงเห็นชอบให้ตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมา 1 คณะจากหลากหลายหน่วยงาน โดยมี สอศ. ทำหน้าที่เป็นเลขานุการ เพื่อร่วมพิจารณาและหารือกับผู้ว่าราชการจังหวัด อุตสาหกรรมจังหวัด พาณิชย์จังหวัด ในการผลักดันเรื่องนี้ให้เข้าสู่ระบบ Supply Chain ย่อยของ 10 อุตสาหกรรมต่อไป รวมทั้งขยายผลไปยังสถาบันอาชีวศึกษาทั่วประเทศ เพื่อให้นำชิ้นงานเข้าสู่ระบบ Supply Chain ของอุตสาหกรรมแต่ละจังหวัด และแต่ละภาคต่อไป

นอกจากนี้ จะมีการหารือถึงการจัดงานนำร่อง การแสดงชิ้นงานหรือผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการประกวดโครงการสิ่งประดิษฐ์ระดับชาติของปี 2559-2560 ต่อไป รวมทั้งจะมอบหมายให้ศูนย์ประสานงานการผลิตและพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษาฯ หาช่องทางการรับโจทย์การพัฒนาชิ้นงานจากภาคอุตสาหกรรมหรือโรงงาน มาให้นักศึกษาคิดประดิษฐ์เป็นต้นแบบในเรื่องต่าง ๆ ให้มากยิ่งขึ้นต่อไปด้วย


อนึ่ง ที่ประชุมครั้งนี้ ได้รับทราบความก้าวหน้าผลการดำเนินงานการบูรณาการการศึกษาภาคตะวันออก และการพัฒนาการศึกษาในพื้นที่ EEC ปีงบประมาณ 2561 ของหน่วยงานในกระทรวงศึกษาธิการ คือ  สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย สำนักงานศึกษาธิการภาค 3 สำนักงานศึกษาธิการภาค 9 สำนักงานศึกษาธิการจังหวัด 8 จังหวัด สถาบันอุดมศึกษาในพื้นที่ รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการจะได้นำเสนอในโอกาสต่อไป


บัลลังก์ โรหิตเสถียร: สรุป/เรียบเรียง
กิตติกร แซ่หมู่: ถ่ายภาพ
5/2/2561