ภาคตะวันออก: นายธวัชชัย อุ่ยพานิช รองศึกษาธิการภาค 9 กล่าวว่า คณะกรรมการขับเคลื่อนแผนบูรณาการฯ ภาคตะวันออก ได้ร่วมกันทบทวนการจัดทำแผนในระดับต่าง ๆ โดยนำยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี, แผนปฏิรูปประเทศทั้ง 11 ด้าน, แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 และแผนการศึกษาแห่งชาติ ปี 2560-2579 มาเป็นแนวทางการทบทวนแผนปฏิบัติงาน
โดยมียุทธศาสตร์และทิศทางการพัฒนาภาคตะวันออก 5 ด้าน คือ 1) พัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกให้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษที่ดีและทันสมัยที่สุดในภูมิภาคอาเซียน 2) พัฒนาภาคตะวันออกให้เป็นแหล่งผลิตอาหารที่มีคุณภาพและได้มาตรฐานสากล 3) ปรับปรุงมาตรฐานสินค้าและธุรกิจบริการด้านการท่องเที่ยว 4) พัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจชายแดนให้เป็นประตูเศรษฐกิจเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านและเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน และ 5) เร่งแก้ไขปัญหาทรัพยากรธรรมชาติที่มีความวิกฤติและจัดระบบการบริหารจัดการมลพิษให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ซึ่งมีแผนงานและโครงการที่จะขอรับการจัดสรรงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2563 จำนวน 82 ชุดโครงการ ตัวอย่างเช่น โครงการยกระดับผลิตภัณฑ์เพื่อการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Product Development for Health Tourism), โครงการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวชายทะเลนานาชาติในจังหวัดชลบุรี-ระยอง เป็นต้น

ภาคเหนือ: นายสุรินทร์ แก้วมณี รองศึกษาธิการภาค 15 กล่าวว่า คณะกรรมการขับเคลื่อนแผนบูรณาการฯ ภาคเหนือ ได้ทำการศึกษาแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 และให้ความสำคัญกับบริบทของจังหวัดในภาคเหนือที่มีความเป็นอัตลักษณ์ในทุก ๆ ด้าน โดยมีทิศทางในการพัฒนาภาคเหนือให้เป็น “ฐานเศรษฐกิจสร้างสรรค์มูลค่าสูง เชื่อมโยงเศรษฐกิจกับประเทศในกลุ่มอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง” มุ่งเน้นให้มีรายได้ด้านการท่องเที่ยว มูลค่าการค้าชายแดนเพิ่มขึ้น สัดส่วนผู้สูงอายุที่เข้าถึงระบบสวัสดิการเพิ่มขึ้น จำนวนวันที่มีค่ามาตรฐานฝุ่นละอองขนาดเล็กลดลง เป็นต้น ซึ่งมีแผนงานและโครงการที่จะขอรับการจัดสรรงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2563 จำนวน 70 โครงการ โดยมีโครงการตัวอย่าง เช่น โครงการพัฒนาระบบการดูแลผู้สูงอายุระยะยาว และสร้างความเข้มแข็งของสถาบันครอบครัวสำหรับผู้สูงอายุโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน เป็นต้น

ภาคใต้ชายแดน: นายวาทิต มีสนุ่น ผู้อำนวยการศูนย์ประสานงานและบริหารการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศปบ.จชต.) กล่าวว่า จังหวัดภาคใต้ชายแดนมีแนวทางการขับเคลื่อนแผนพัฒนาด้านการศึกษาระดับภาค (ภาคใต้ชายแดน) โดยน้อมนำยุทธศาสตร์พระราชทานของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” พร้อมทั้งพระบรมราโชบายด้านการศึกษาของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รัชกาลที่ 10 “การศึกษาต้องมุ่งสร้างพื้นฐานให้ผู้เรียน 4 ด้าน คือ มีทัศนคติที่ถูกต้องต่อบ้านเมือง มีพื้นฐานชีวิตที่มั่นคง-มีคุณธรรม มีงานทำ-มีอาชีพ และเป็นพลเมืองดี” มาปรับใช้กับแผนการปฏิบัติงานให้ขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมาย โดยมียุทธศาสตร์การพัฒนา 3 ด้าน คือ พัฒนาอุตสาหกรรมเกษตรและอุตสาหกรรมแปรรูปการเกษตร เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับภาคการผลิต, พัฒนาเมืองสุไหงโก-ลก และเมืองเบตง ให้เป็นเมืองการค้าและเมืองท่องเที่ยวชายแดน และเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน ซึ่งมีแผนงานและโครงการที่จะขอรับการจัดสรรงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2563 จำนวน 72 โครงการ มีโครงการตัวอย่าง เช่น โครงการสร้างองค์ความรู้เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมเกษตรและอุตสาหกรรมแปรรูปการเกษตรเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับภาคการผลิต (ภาคใต้ชายแดน) เป็นต้น

ภาคกลางและพื้นที่กรุงเทพมหานคร: นางรักขณา ตัณฑวุฑโฒ รองศึกษาธิการภาค 1 กล่าวว่า ภาคกลางและกรุงเทพมหานคร มีทิศทางในการพัฒนากรุงเทพมหานครสู่มหานครทันสมัย และภาคกลางเป็นฐานการผลิตสินค้าและบริการที่มีคุณภาพสูง โดยดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ 6 ด้าน คือ 1) พัฒนากรุงเทพฯ เป็นมหานครทันสมัยระดับโลก ควบคู่กับการพัฒนาคุณภาพชีวิตและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมเมือง 2) พัฒนาคุณภาพแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ และสร้างความเชื่อมโยงเพื่อกระจายการท่องเที่ยวทั่วทั้งภาค 3) ยกระดับการผลิตสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมโดยใช้นวัตกรรม เทคโนโลยีและความคิดสร้างสรรค์เพื่อให้สามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืน 4) บริหารจัดการน้ำและทรัพยากรธรรมชาติเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วม ภัยแล้ง และคงความสมดุลของระบบนิเวศอย่างยั่งยืน 5) เปิดประตูการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว เชื่อมโยงเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย-ภาคกลาง-ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก และ 6) พัฒนาความเชื่อมโยงเศรษฐกิจและสังคมกับทุกภาคเพื่อเสริมสร้างเสถียรภาพและลดความเหลื่อมล้ำภายในประเทศ โดยมีข้อเสนอแผนงานโครงการแผนปฏิบัติการภาค พ.ศ. 2563 ภายใต้แผนบูรณาการพัฒนาพื้นที่ระดับภาคในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการ จำนวน 260 โครงการ ตัวอย่างโครงการที่สำคัญ เช่น โครงการพัฒนานครปฐมเป็นเมืองสมุนไพรต้นแบบ: สร้างสรรค์สมุนไพรทางยาและวัตถุดิบแบบครบวงจรศูนย์บริการด้านสุขภาพ การศึกษาและเศรษฐกิจในยุคใหม่ เป็นต้น

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: นายธีรพงษ์ สารแสน รองศึกษาธิการภาค 10 กล่าวว่า ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีทิศทางในการพัฒนาภาคให้เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของอนุภาคลุ่มแม่น้ำโขง มียุทธศาสตร์การดำเนินงาน 6 ด้าน ประกอบด้วย 1) บริหารจัดการน้ำให้เพียงพอต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืน 2) แก้ปัญหาความยากจนและพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีรายได้น้อยเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม 3) สร้างความเข้มแข็งของฐานเศรษฐกิจภายใน ควบคู่กับการแก้ปัญหาด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 4) พัฒนาการท่องเที่ยวเชิงบูรณาการ 5) ใช้โอกาสจากการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมขนส่งที่เชื่อมโยงพื้นที่เศรษฐกิจหลักภาคกลาง และพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เพื่อพัฒนาเมืองและพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ ๆ ของภาค 6) พัฒนาความร่วมมือและใช้ประโยชน์จากข้อตกลงกับประเทศเพื่อนบ้านในการสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ ตามแนวชายแดนและแนวระเบียงเศรษฐกิจ โดยมีข้อเสนอแผนงานโครงการแผนปฏิบัติการภาค พ.ศ. 2563 จำนวน 327 โครงการ โครงการสำคัญ เช่น โครงการเตรียมความพร้อมเพื่อเพิ่มความรู้ สมรรถนะ ทักษะ และการเรียนรู้ตลอดชีวิต แบบบูรณาการของนักเรียนนักศึกษาในการขับเคลื่อนไทยแลนด์ 4.0 เป็นต้น

ภาคใต้: นายประหยัด อนุศิลป์ รองศึกษาธิการภาค 6 กล่าวว่า ทิศทางการพัฒนาภาคใต้
มีเป้าหมายให้ภาคใต้เป็นเมืองท่องเที่ยวพักผ่อนตากอากาศระดับโลก เป็นศูนย์กลางผลิตภัณฑ์ยางพาราและปาล์มน้ำมันของประเทศและเมืองเศรษฐกิจ เชื่อมโยงการค้าการลงทุนกับภูมิภาคอื่นของโลก โดยนำหลักคิด “คิดให้ครบ ทบทวนเป็นห้วง ๆ ห่วงการรับรู้ สู่การบูรณาการ สืบสานศาสตร์พระราชา เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” มาปรับใช้กับแผนการดำเนินงาน โดยมีแผนงานโครงการเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาภาค (ภาคใต้) ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 จำนวน 203 โครงการ โครงการสำคัญ อาทิ การสร้างโรงงานต้นแบบสำหรับผลิตนวัตกรรมยางพารา และ ถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ชุมชน เป็นต้น

ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ
จากผู้บริหารส่วนกลาง ศธ.
นายชลำ อรรถธรรม เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน “ทิศทางการพัฒนาของทั้ง 6 ภาค มีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติอย่างชัดเจน จึงขอเสนอแนะเพิ่มเติมให้แต่ละภาคเน้นการบูรณาการ เพื่อให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยสนับสนุน รวมทั้งคำนึงถึงหน่วยงานที่รับผิดชอบอย่างครอบคลุม”
นางสาวอุษณีย์ ธโนศวรรย์ เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา “การนำเสนอของทุกภาคมีสาระสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงเป้าหมายชัดเจนและมีทิศทางที่โดดเด่น ขอให้แต่ละภาคพิจารณายุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ข้อที่ 6 การบริหารจัดการในภาครัฐ เนื่องจากจะสอดคล้องกับระบบการบริหารจัดการของแต่ละโครงการ และเป็นประโยชน์ในการตอบโจทย์ทุกมิติ หากสามารถบริหารจัดการที่มีการบูรณาการกับทุกภาคส่วน ด้วยการสื่อสาร ถ่ายทอด ให้บรรลุวัตถุประสงค์ได้ ก็จะเป็นประโยชน์กับโครงการมากที่สุด รวมทั้งให้ความสำคัญกับการจัดลำดับความสำคัญของโครงการว่าควรดำเนินโครงการใดก่อน”
นางสาววิเลขา ลีสุวรรณ์ รองเลขาธิการสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย “การประชุมครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้ทราบสภาพปัญหาและความต้องการของพื้นที่ในแต่ละภาค ขั้นต่อไปคือการส่งเสริมการสร้างการรับรู้ในทุกระดับ โดยเน้นที่ผู้ปฏิบัติงานเพื่อให้เกิดการบูรณาการร่วมกันอย่างแท้จริง”
นายอัมพร พินะสา ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน “บริบทของแต่ละภาคมีความโดดเด่นที่แตกต่างกัน ขณะนี้เรากำลังศึกษาอดีต มองปัจจุบัน และก้าวสู่การเตรียมการอนาคต ขอให้ทุกภาคช่วยกันพิจารณาว่า เมื่อได้ยุทธศาสตร์แล้วจะสามารถเติมองค์ความรู้ให้คนในภาคได้อย่างไร เพื่อให้คนเหล่านั้นมีอาชีพแบบที่เราวางแผนไว้ เพื่อให้สอดรับกับบริบท ต่อยอดสู่การมีงานทำ และความเชื่อมโยงในระดับภาค”
นางอรสา ภาววิมล รองเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา “กระทรวงศึกษาธิการมีภารกิจหลักในการสร้างคน โดยสิ่งที่เราต้องเร่งดำเนินการและวางแผนคือการเตรียมสร้างคนในโลกยุคใหม่ เพราะรูปแบบการเรียนการสอนที่เปลี่ยนแปลงไป จึงควรเชิญชวนภาคส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งผู้ปกครองและผู้ใช้บัณฑิต ให้เข้ามามีส่วนร่วมกับการศึกษาให้มากขึ้น”
นายสมศักดิ์ ดลประสิทธิ์ รองเลขาธิการสภาการศึกษา “สิ่งที่ควรดำเนินการคือการจัดลำดับความสำคัญของโครงการต่าง ๆ ภายใต้แผนดังกล่าว อีกทั้งภารกิจในแผนอาจต้องเชื่อมโยงกับภารกิจของกระทรวงอื่น ๆ จึงต้องเน้นความร่วมมือกับหน่วยงานภายนอก โดยให้ยึดเป้าหมายหลักของกระทรวงศึกษาธิการ คือ การสร้างคน ซึ่งต้องตอบโจทย์ตรงนี้ให้ได้”

นายอำนาจ วิชยานุวัติ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ “แนวทางดำเนินงานการเสนอแผนงานโครงการ ภายใต้แผนพัฒนาภาค 2563-2565 และแผนปฏิบัติการภาค 2563 ของ ศธ. ได้กำหนด Timeline ดำเนินการไว้แล้ว หลังจากการประชุมครั้งนี้ ทุกหน่วยงานจะต้องส่งข้อเสนอแผนงานโครงการแต่ละภาคให้สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (สป.ศธ.) ภายในวันที่ 7 ธันวาคมนี้ เพื่อเสนอรัฐมนตรีช่วยว่าการฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการให้ความเห็นชอบก่อนเสนอให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) พิจารณาภายในวันที่ 15 ธันวาคมนี้ ซึ่ง สศช.จะพิจารณาข้อเสนอฯ ของทุกกระทรวงและหน่วยงานต่าง ๆ ให้เสร็จสิ้นภายใน 15 มีนาคม 2562 เพื่อให้ส่วนราชการจัดทำคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2563 ต่อไป”
